คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันที่ทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของธนาคาร. และจำเลยได้ลงชื่อในสัญญานั้นด้วย. เมื่อศาลได้พิจารณาสัญญาดังกล่าวนี้เปรียบเทียบกับลายเซ็นตัวอย่างที่จำเลยมอบให้ธนาคารไว้และกับลายเซ็นของจำเลยในใบแต่งทนายแล้ว. เชื่อว่าเป็นลายเซ็นของบุคคลคนเดียวกัน ประกอบกับมีพยานบุคคลมายืนยันด้วย. สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจึงไม่ใช่สัญญาปลอม.
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 50,000 บาท. ต่อมาจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีผลักใช้หนี้เป็นคราวๆ แสดงถึงฐานะของจำเลยว่ามีทางจะชำระหนี้ได้. ธนาคารจึงยอมให้เบิกเงินเกินกว่าสัญญากู้อันเป็นประเพณีของธนาคาร. การเบิกเงินเกินบัญชีนี้ถือว่าเป็นเรื่องของบัญชีเดินสะพัด.ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ. จำเลยเบิกเงินไปมากกว่าวงเงินที่ทำสัญญากู้ไว้ ต้องรับผิดในยอดเงินที่เกินนั้น. ส่วนผู้ค้ำประกันคงต้องรับผิดในวงเงินเท่าที่ทำสัญญาค้ำประกันไว้เท่านั้น.
อายุความใช้สิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่ง. เมื่อจำเลยไม่ได้ยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้.เรื่องดอกเบี้ยนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน. ธนาคารจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปี. ทั้งนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้เฉพาะที่ลูกหนี้ยังไม่ได้ผิดนัด. เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ต่อแต่นั้นไปเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้. คงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยตามธรรมดา(ฎีกาที่ 658-659/2511).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2500 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินเกินบัญชีไปจำนวน 50,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ สัญญาจะชำระหนี้ให้เสร็จในวันที่ 13 ธันวาคม2501 และจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์อีกว่า จำเลยยินยอมให้นายไพโรจน์ยมจินดา ออกเช็คเบิกเงินไปจากโจทก์ในบัญชีถอนเงินของจำเลยที่ 1และตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์อีกด้วยจำเลยที่ 1 ออกเช็คเบิกเงินไปจากโจทก์รวม 4 ครั้ง เป็นเงิน 52,625บาท นายไพโรจน์ ยมจินดาได้ออกเช็คเบิกเงินไปจากโจทก์ในบัญชีของจำเลยที่ 1 รวม 10 ครั้งเป็นเงิน 160,775 บาท นายไพโรจน์นำดราฟท์ในบัญชีจำเลยที่ 1 สามครั้งเป็นเงิน 29,897.45 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 243,297.45 บาท จำเลยที่ 1 กับนายไพโรจน์นำเงินฝากรวม10 ครั้ง เป็นเงิน 120,690 บาท จำเลยคงค้างชำระอยู่ 122,607.45บาท จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 15 ต่อปี คิดเวลา 5 ปี12 วัน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้โจทก์ตามสัญญา จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีกรรมการ 2 คนลงชื่อเป็นสำคัญ สัญญาท้ายฟ้องเป็นสัญญาปลอมเพราะลายเซ็นชื่อไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงให้นายไพโรจน์ ยมจินดา มีสิทธิเซ็นเช็คเบิกเงินจากธนาคารโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ฝากเงินไว้กับธนาคารโจทก์เป็นเงิน 120,690 บาท ยังไม่เคยถอนเลย จึงขอฟ้องแย้งให้ธนาคารโจทก์จ่ายเงินดังกล่าวนั้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่จำเลยที่ 1 และขอให้ยกฟ้องโจทก์ด้วย ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้ง และฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญากู้ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์จริงยังค้างชำระหนี้โจทก์อยู่ แต่โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยทั้งสองนับตั้งแต่วันกู้ถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 5 ปีเศษเป็นการไม่ชอบ โจทก์มีหลักฐานการกู้เงินเพียง 50,000 บาท ส่วนที่เกินจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเอกสารสัญญากู้ไม่ใช่ลายเซ็นชื่อของจำเลยที่ 1 และที่ 2 พยานหลักฐานโจทก์ขัดต่อเหตุผลและข้อเท็จจริง คำเบิกความของพยานโจทก์มีพิรุธ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์มีนายอโนผู้จัดการธนาคารกับนายธงชัยพนักงานธนาคารรู้เห็นขณะที่จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน นางเรวดีเสมียนเป็นผู้พิมพ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ลงชื่อในสัญญาต่อหน้านายอโน นายธงชัย นางเรวดี ศาลได้นำลายมือจำเลยในเอกสารดังกล่าวเปรียบเทียบกับลายเซ็นตัวอย่างที่จำเลยมอบให้ธนาคารไว้ เชื่อว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันสัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาปลอม จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 50,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเงินเข้าบัญชีผลักใช้หนี้หลายคราวเป็นเงิน 120,690บาท แสดงให้โจทก์เชื่อถือจำเลยที่ 1 ว่ามีทางชำระหนี้โจทก์ได้จึงยอมให้เบิกเงินเกินกว่าสัญญากู้อันเป็นประเพณีของธนาคาร จะถือว่าเป็นพิรุธของโจทก์ให้ไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะกู้เงินตามฟ้องนั้นไม่ได้ เรื่องเบิกเงินเกินบัญชี ถือว่าเป็นเรื่องของบัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ แม้เบิกเงินไปมากกว่าวงเงินที่กู้ 50,000 บาท จำเลยยังต้องรับผิดในยอดเงินที่เกินนั้นด้วยส่วนจำเลยที่ 2 คงต้องรับผิดในวงเงินเท่าที่ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับธนาคารโจทก์เท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้เกินกว่า 5 ปีได้ เพราะเรื่องดอกเบี้ยนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ทั้งนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้เฉพาะที่จำเลยยังไม่ได้ผิดนัด เมื่อจำเลยผิดนัดแล้ว ต่อแต่นั้นไปโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดาตามคำพิพากษาฎีกาที่ 658-659/2511 คดีนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใด เพื่อหาวันผิดนัด จะถือเอาเวลาสิ้นสุดแห่งบัญชีเดินสะพัดด้วยการหักทอนบัญชีกันในคดีนี้ คือวันที่30 พฤษภาคม 2502 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ต้นเงิน122,607.45 บาท ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามสัญญาประกันในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท.

Share