แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยถูกผู้ตายใช้กลองยาวตีศีรษะแต่ไม่ถูกเพราะจำเลยหลบถอยห่างออกไปแล้ว ผู้ตายยังตามเข้าไปใช้เท้าถีบจำเลยเอาอีกการที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมยาว 1 คืบแทงสวนไปในขณะที่ผู้ตายใช้เท้าถีบจำเลย โดยผู้ตายไม่มีอาวุธอะไรจนผู้ตายเกิดบาดแผลที่อุ้งขาขวาใต้ลูกอัณฑะลึกตัดเส้นโลหิตใหญ่ขาดถึงแก่ความตาย ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๐๘ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้ายโดยเจตนาฆ่านายมะดง ดือมาหนิ๊ ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลยะหา อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๙๒
จำเลยให้การปฏิเสธ รับในข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าคนโดยไม่เจตนาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ จำคุก ๖ ปี เพิ่มโทษ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๙๒ เป็นจำคุก ๘ ปี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ หนึ่งในสามคงจำคุก ๕ ปี ๔ เดือน ข้อหาตามมาตรา ๒๘๘ ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ควรมีความผิด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตนเกินสมควรแก่เหตุพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐, ๖๙ ให้จำคุก ๖ เดือน เพิ่มโทษ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๙๒ จำคุก ๘ เดือน ต้องขังมาพอแก่โทษแล้วปล่อยตัวไป
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้จากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาว่า ในคืนวันเกิดเหตุ นายดือมาหนิ๊ได้ทำพิธีเข้าทรงตามประเพณีชาวอิสลาม เพื่อรักษานายเจ๊ะยอดือมาหนิ๊ บุตรซึ่งป่วยโดยปลูกโรงพิธีที่หน้าบ้านนายดือมาหนิ๊ คืนเกิดเหตุเป็นคืนที่ ๓ ได้เริ่มพิธีตั้งแต่ตอนค่ำ มีคนเล่น ๕ คน คนดูประมาณ ๑๐ คน นายมะดงผู้ตายเป็นคนตีกลองยาว จำเลยนั่งดูอยู่ใกล้ ๆ ผู้ตาย ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาจวนสว่างจำเลยมีอาการตัวสั่นคล้ายถูกเข้าทรงผู้ตายลุกขึ้นเอากลองยาวตีศีรษะจำเลย ๑ ที จำเลยหลบถอยห่างออกไป ผู้ตายตามเข้าไปแล้วถีบจำเลย ๑ ที พอแยกออกจากกันปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่อุ้งขาขวาใต้ลูกอัณฑะ ตอนแทงไม่มีใครเห็นแต่เลือดไหลเปรอะเปื้อนกางเกงผู้ตาย จำเลยนำสืบรับว่าขณะผู้ตายถีบจำเลย จำเลยถีบชักมีดยาว ๑ คืบจากเอวขึ้นรับแต่เมื่อพิเคราะห์ฐานแผลยาว ๔ เซนติเมตร กว้าง ๑ เซนติเมตร ลึก ๑๒ เซนติเมตร จดกระดูกหัวเหน่าน่าเชื่อว่าจำเลยได้ใช้มีดแทงสวนไปขณะที่ผู้ตายถีบจำเลย หาใช่ชักมีดเพียงขึ้นรับไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ดังนี้
ปัญหามีว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อผู้ตายยกกลองยาวตีศีรษะจำเลย จำเลยหลบถอยห่างออกไปแล้วไม่มีที่ท่าว่าผู้ตายจะใช้กลองยาวนั้นตีจำเลยซ้ำเติมอีกกลองนั้นยาวถึง ๑ แขน โตเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ ฟุต กลองน่าจะหลุดจากมือผู้ตายไปแล้วเมื่อผู้ตายเอากลองตีจำเลยไม่ถูก ผู้ตายยังตามเข้าไปใช้เท้าถีบจำเลยอีกจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน แต่การที่จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาวถึง ๑ คืบแทงสวนไป จนเกิดบาดแผลลึกตัดเส้นโลหิตใหญ่ขาดโดยที่ผู้ตายไม่มีอาวุธอะไรเลย เพียงใช้เท้าถีบจำเลยการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ที่โจทก์ฎีกาว่ากรณีเป็นเรื่องต่างฝ่ายสมัครใจวิวาทเข้าทำร้ายกัน ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่าเป็นเรื่องสมัครใจวิวาททำร้ายกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุชอบด้วยรูปคดีแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากยืน ให้ยกฎีกาโจทก์