คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในการซื้อเนื้อแร่ดีบุกระหว่างโจทก์ผู้ขายกับบริษัทท. ผู้ซื้อสัญญาระบุให้ถือว่าการส่งมอบแร่ดีบุกสำเร็จบริบูรณ์และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของผู้ซื้อเมื่อได้ชั่งน้ำหนักชิ้นรวมตามวิธีที่ระบุไว้นอกจากนั้นได้กำหนดราคาซื้อให้คำนวณโดยใช้ราคาตลาดปีนังของวันตลาดดีบุกปีนังที่ผู้ขายระบุวันใดวันหนึ่งภายใน30วันหลังจากวันส่งมอบเป็นวันตลาดปีนังก็ได้กรณีผู้ขายมิได้ระบุวันตลาดดีบุกปีนังให้ใช้วันตลาดดีบุกปีนังในวันที่30หลังจากวันส่งมอบในการคำนวณราคาซื้อและเมื่อได้รับคำขอผู้ซื้อจะจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายเป็นเงินบาทจำนวนไม่เกินร้อยละ80ของราคาซื้อสุทธิจากปริมาณแร่ดีบุกที่ส่งมอบในแต่ละครั้งคำนวณจากราคาตลาดปีนังของวันที่จ่ายเงินล่วงหน้าเช่นนี้สัญญาซื้อขายนี้จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่วันที่มีการส่งมอบแร่แล้วเพียงแต่การกำหนดราคาแร่ที่แน่นอนผู้ซื้อยินยอมให้ผู้ขายกำหนดภายหลังส่วนข้อตกลงให้ผู้ซื้อจ่ายเงินล่วงหน้าจำนวนร้อยละ80กับข้อกำหนดให้ผู้ขายเสียดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวร้อยละ1ต่อเดือนไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายทั้งผู้ซื้อยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการรับจำนำแร่และเงินล่วงหน้าค่าแร่เป็นเงินส่วนหนึ่งของราคาแร่หาใช่เงินกู้ไม่เงินจำนวนนี้จึงเป็นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์จะต้องมาคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์แก้อุทธรณ์ขอให้งดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแต่โจทก์มิได้ขอให้บังคับไว้ในคำฟ้องจึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลภาษีอากรต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯมาตรา29ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า “ห้างหุ้นส่วนเหมืองแร่เจริญโชค” มิได้จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนมีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 คือ สรรพากรจังหวัดพังงาได้ส่งแบบแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แจ้งว่า ในปี 2524 และ 2527 โจทก์เสียภาษีอากรไม่ถูกต้อง ภาษีอากรปี 2524 ที่โจทก์ต้องชำระเพิ่มเป็นเงิน1,828,992.49 บาท กับเงินเพิ่มตามมาตรา 22 แห่งประมวลรัษฎากร365,798.50 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ต้องชำระเพิ่มเติม 2,194,790 บาทภาษีอากรปี 2527 โจทก์ชำระขาดไปจำนวน 8,869.16 บาท กับเบี้ยปรับตามมาตรา 22 แห่งประลวลรัษฎากร จำนวน 8,869.16 บาท เงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร จำนวน 7,435.21 บาท รวมเป็นเงินภาษีอากรที่โจทก์ต้องชำระเพิ่มเติม 24,827 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมิน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและลดเงินเพิ่มให้คงเหลือเงินที่โจทก์ต้องชำระ 1,765,097.08 บาท ส่วนภาษีเงินได้ปี 2527 นั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์แล้วปลดภาษีให้ไปเรียกเก็บอีก การประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้อง ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จำเลยทั้งสี่ให้การว่า แร่ทั้งสองจำนวนของโจทก์ได้ขายและส่งมอบให้บริษัทไทยแลนด์สเมลติ้งแอนด์รีไพนิ่ง จำกัด ในวันที่24 และ 26 ธันวาคม 2524 แล้วประกอบกับบริษัทไทยแลนด์สเมลติ้งแอนด์รีไฟนิ่ง จำกัด ผู้รับซื้อแร่จากโจทก์ยืนยันว่า บริษัทไม่มีนโยบายและไม่ได้รับจำนำแร่ในรายของโจทก์บริษัทได้ทำการซื้อขายกันแล้วโดยชำระเงินบางส่วนของราคาซื้อเบื้องต้นซึ่งเป็นราคาประมาณราคาซื้อเบื้องต้นของค่าแร่ทั้งหมดที่ผู้ถลุงให้คำนวณจากราคาตลาดดีบุกปีนังในวันส่งมอบแร่และจ่ายเงินล่วงหน้าเป็นจำนวนเงิน 1,944,000 บาท โจทก์เองก็ยอมรับว่าได้รับชำระราคาบางส่วนของราคาแร่ทั้งสองจำนวน ณ วันที่ส่งมอบแร่ในวันที่ 24 และ 26 ธันวาคม 2524 ตามลำดับ จึงถือได้ว่าเป็นเงินได้พึงประเมินในปี 2524 ตามกฎหมายแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องนำเงินได้ไปยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2524เมื่อโจทก์มิได้นำเงินได้ดังกล่าวไปยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2524 โจทก์จึงต้องรับผิดตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เลขที่ 8527/1/100050 ขอให้ยกฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2536 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในการซื้อเนื้อแร่ดีบุกระหว่างโจทก์ผู้ขายและบริษัทไทยซาโก้ จำกัดผู้ซื้อ เอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 4 ถึง 7 ข้อ 2 (ก) ระบุว่าให้ถือว่าการส่งมอบแร่ดีบุกสำเร็จบริบูรณ์และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวคือแร่ทั้งหมดตกเป็นของบริษัทไทยซาโก้ จำกัด เมื่อได้ชั่งน้ำหนักชื้นรวมตามวิธีที่ระบุไว้ นอกจากนั้นยังกำหนดในข้อ 5(ข)ว่า ราคาซื้อให้คำนวณโดยใช้ราคาตลาดปีนัง ของวันตลาดดีบุก ปีนังที่ผู้ขายระบุ โดยผู้ขายอาจระบุเอาวันตลาดดีบุกปีนัง วันใดวันหนึ่งภายใน 30 วัน หลังจากวันส่งมอบเป็นวันราคาตลาดปีนัง ก็ได้ ในกรณีที่ผู้ขายไม่ได้ระบุวันตลาดปีนัง วันใดวันหนึ่งภายใน 30 วัน หลังจากวันส่งมอบเป็นราคาตลาดปีนัง ก็ให้ใช้วันตลาดดีบุกปีนัง ในวันที่ 30หลังจากวันส่งมอบในการคำนวณราคาซื้อ และในข้อ 7 ระบุว่า เมื่อได้รับคำขอจากผู้ขายบริษัทไทยซาโก้ จำกัด จะจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายเป็นเงินบาทจำนวนไม่เกินร้อยละ 80 ของราคาซื้อสุทธิประมาณได้จากปริมาณของแร่ดีบุกที่ผู้ขายส่งมอบให้แต่ละครั้งและที่ผู้ขายยังมิได้ระบุวันตลาดปีนัง วันใดเป็นราคาตลาดปีนัง ราคาซื้อสุทธิที่ประมาณนี้ให้คำนวณจากราคาตลาดปีนัง ของวันที่จ่ายเงินล่วงหน้าเมื่อข้อกำหนดและเงื่อนไขในการซื้อเนื้อแร่ดีบุกระหว่างโจทก์และบริษัทไทยซาโก้ จำกัด ระบุรายละเอียดไว้เช่นนั้น สัญญาซื้อขายแร่จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่วันที่มีการส่งมอบแร่ระหว่างโจทก์ผู้ขายและบริษัทไทยซาโก้ จำกัด ผู้ซื้อแล้ว เพียงแต่การกำหนดราคาแร่ที่แน่นอน ฝ่ายผู้ซื้อยินยอมให้ผู้ขายกำหนดภายหลังโดยถือราคาแร่ของตลาดปีนัง ในวันใดวันหนึ่งก็ได้ภายใน 30 วันหลังจากวันส่งมอบแร่ ถ้าผู้ขายไม่กำหนดภายในเวลาดังกล่าวให้ใช้วันตลาดดีบุกปีนัง ในวันที่ 30 หลังจากวันส่งมอบแร่เป็นราคาที่ซื้อขายกัน เหตุผลที่ต้องมีข้อตกลงเช่นนี้ก็เพื่อมิให้ผู้ขายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะราคาแร่ขึ้นลงทุกวันและการที่ผู้ซื้อยอมจ่ายเงินล่วงหน้าจำนวนร้อยละ 80 ของมูลค่าแร่ให้แก่ผู้ขายเมื่อผู้ขายร้องขอทั้ง ๆ ที่ผู้ขายยังมิได้กำหนดราคาซื้อขายแร่ก็ได้มีข้อกำหนดให้ผู้ขายเสียดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 หลังจากวันที่จ่ายเงินล่วงหน้าจนกระทั่งผู้ขายจะได้ระบุวันตลาดปีนัง ที่ใช้คำนวณราคาแร่ที่ซื้อขายกันทั้งนี้เพื่อมิให้ผู้ขายได้เปรียบผู้ซื้อเกินไปนั่นเอง ข้อตกลงดังกล่าวไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายจึงใช้บังคับได้ อนึ่ง เมื่อมีการสอบถามเรื่องนี้ไปยังบริษัทไทยซาโก้ จำกัด บริษัทได้ตอบยืนยันว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการรับจำนำแร่และเงินล่วงหน้าค่าแร่ที่บริษัทจ่ายให้ผู้ขายไปก่อนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราคาแร่ ปรากฎตามเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 42 จึงเห็นว่าเงินจำนวนร้อยละ 80ของมูลค่าแร่ที่โจทก์ได้รับไว้เมื่อวันที่ 24 และ 26 ธันวาคม 2524นั้น เป็นส่วนหนึ่งของราคาแร่ที่บริษัทไทยซาโก้ จำกัด ผู้ซื้อได้ชำระให้แก่โจทก์ผู้ขายหาใช่เงินกู้ดังที่โจทก์อ้างไม่เงินจำนวนนี้จึงเป็นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์จะต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2524 การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์แก้อุทธรณ์ขอให้ลดเบี้ยปรับเงินเพิ่มนั้น เห็นว่า คำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวข้อนี้ไว้ จึงไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลภาษีอากรกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย” พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์

Share