แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 2 ใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 17,817.27 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 2 ในส่วนซึ่งอาจเป็นผลถึงโจทก์ที่ 2 ด้วย จึงเป็นการมิชอบ จำเลยที่ 2 จะฎีกาขึ้นมาอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
จำเลยที่ 2 ให้การสรุปได้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นพนักงานขับรถและไม่มีอำนาจในการใช้รถของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 มิได้กระทำการในทางการที่จำเลยที่ 2 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 2 หมดสภาพการเป็นิติบุคคลตั้งแต่ก่อนเกิดการละเมิดและก่อนที่โจทก์จะยื่นฟ้องแล้วนั้น จำเลยที่ 6 มิได้ให้การถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร ๓ ค – ๔๔๒๔ โจทก์ที่ ๒ เป็นภรรยาโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร ๖ น – ๗๕๐๕ ของจำเลย ที่ ๒ ในวันเกิดเหตุ โจทก์ที่ ๑ ขับรถยนต์ของโจทก์ไปตามถนนเทอดดำริ มีโจทก์ที่ ๒ และบุตรนั่งไปด้วย จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้ใช้ไปในทางการที่จ้างและในระหว่างเวลาการทำงานของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ชนกับรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้รถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ เสียหายใช้งานไม่ได้ และโจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน ๗๓,๒๘๗.๑๑ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๗๒,๔๘๐ บาท นับตั้งแต่วันถัดจากฟ้องจนกว่า จะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า เหตุที่รถชนกันเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์ฝ่ายเดียว รถจำเลยที่ ๑ เสียหายต้องเสียค่าซ่อม ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้พิพากษายกฟ้องกับให้โจทก์ใช้ค่าซ่อมรถ ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันฟ้อง จนกว่า จะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นพนักงานขับรถและไม่มีอำนาจในการใช้รถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ทั้งจำเลยที่ ๑ มิได้กระทำการในทางการที่จำเลยที่ ๒ ว่าจ้าง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาท โจทก์ทั้งสองจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๙,๙๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๒๙,๒๒๕ บาท นับแต่วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๓ จากต้นเงิน ๒,๗๕๕ บาท นับแต่วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๒๓ และจากต้นเงิน ๘,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ ๑ ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ คงรับเฉพาะอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ โจทก์ที่ ๒ ใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๗,๘๑๗.๒๗ บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยที่ ๒ ในส่วนซึ่งอาจเป็นผลถึงโจทก์ที่ ๒ ด้วย จึงเป็นการมิชอบ จำเลยที่ ๒ จะฎีกาขึ้นมาอีกไม่ได้ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ว่าโจทก์ มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เพราะจำเลยที่ ๒ หมดสภาพการเป็นิติบุคคลตั้งแต่ก่อนเกิดการละเมิดและก่อนที่โจทก์จะยื่นฟ้องแล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ให้การสรุปได้ว่าไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เพราะจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นพนักงานขับรถและไม่มีอำนาจในการใช้รถของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ มิได้กระทำการในทางการที่จำเลยที่ ๒ ว่าจ้าง จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เพราะมิได้เป็นนิติบุคคลนั้น จำเลยที่ ๒ จึงฟ้อง มิได้ให้การถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงต่อไปและฟังว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันเกิดเหตุในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาท
พิพากษายืน แต่ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ โดยให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าธรรมเนียมสำหรับทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ ๒ ในชั้นฎีกาให้จำเลยที่ ๒ ทั้งหมด ค่าฤชาธรรมเนียม ชั้นฎีกาให้เป็นพับ