คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1440/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติการควบคุมตัวผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2505 ไม่ใช่กฎหมายที่บัญญัติย้อนหลังให้ลงโทษบุคคลในทางอาญา และไม่ใช่เป็นการบัญญัติดังศาลขึ้นใหม่แต่เป็นเพียงวางวิธีการร้องขอให้ผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดกฎหมายว่าด้วยป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ปฏิบัติเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้น จึงหาขัดต่อธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.250+ มาตรา 20 ไม่ นอกจากนี้พระราชบัญญัติดังกล่าวยังไม่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลและวิธีพิจารณาความให้ใช้บังคับเฉพาะคดีและเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งเพราะเป็นกรณีที่บัญญัติขึ้นใช้แก่คดีประเภทใดประเภทหนึ่ง เป็นการทั่วไป ฉะนั้น จึงต้องถือว่า ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้โดยชอบ หาตกเป็นโมฆะอย่างใดไม่
ฉะนั้น ผู้ร้องซึ่งถูกควบคุมตัวไว้ในข้อหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อย ระหว่างศาลไต่สวนมีพระราชบัญญัติดังกล่าวประกาศใช้ ศาลย่อมมีคำสั่งให้ยกคำร้องนั้นเสียได้

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสองสำนวนร้องว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้จับผู้ร้องในข้อหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์และความผิดต่อความมั่นคงของรัฐแล้วควบคุมตัวผู้ร้องไว้ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๒ ทั้ง ๆ ที่การสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการควบคุมผู้ร้องไว้ขัดต่อประกาศคณะปฏิบัติ ฉบับที่ ๑๒ และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๘๗ ด้วย คือ ควบคุมไว้เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี
ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานของเจ้าพนักงานตำรวจผู้ควบคุมตัวไว้เสร็จสิ้นแล้ว ยังมิทันลงมือไต่สวนพยานของผู้ร้องได้มีพระราชบัญญัติการควบคุมตัวผู้ต้องหา ว่ากระทำความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.๒๕๐๕ ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดไต่สวนไว้เพียงนั้น และมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองสำนวน
ผู้ร้องทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาพระราชบัญญัติการควบคุมผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.๒๕๐๕ แล้ว เห็นว่า ได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๗๑-๗๗๒/๒๕๐๖ วินิจฉัยไว้แล้วว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช่กฎหมายสารบัญญัติที่บัญญัติย้อนหลังให้ลงโทษบุคคลในทางอาญา และไม่ใช่เป็นการบัญญัติจัดตั้งศาลขึ้นใหม่ เป็นแต่เพียงวางวิธีการร้องขอให้ผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ปฏิบัติเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้น จึงหาขัดต่อธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๒+ไม่ และไม่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลและวิธีพิจารณาความให้ใช้บังคับเฉพาะคดีและเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง เพราะการบัญญัติกฎหมายเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลหรือวิธีพิจารณาความ จะกระทำมิได้ตามที่เคยมีรัฐธรรมนูญบัญญัติห้ามไว้นั้น ต้องเป็นกรณีที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้บังคับแก่คดีในคดีหนึ่งโดยเฉพาะ คือ ไม่บังคับแก่คดีอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นคดีประเภทเดียวกันด้วย ถ้าเป็นกรณีที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้แก่คดีประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นการทั่วๆ ไป ดังพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งใช้บังคับผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ทั่วหน้ากันเช่นนี้ หาตกอยู่ในข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญนั้นด้วยไม่ และต้องถือว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้โดยชอบ หาตกเป็นโมฆะแต่ประการใดไม่
เป็นอันว่า ตั้งแต่วันใช้บังคับพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว สิทธิของผู้ร้องที่จะร้องขอต่อศาลให้พิจารณาสั่งปล่อยจากการควบคุมตามมาตรา ๙๐ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งแม้จะยื่นคำร้องขอไว้ต่อศาลแล้ว ก็ต้องระงับลงตามบทบังคับของพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะนำมาตรา ๙๐ มาใช้บังคับแก่กรณีการควบคุมตัวผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.๒๔๙๕ ซึ่งพนักงานสอบสวนควบคุมตัวไว้ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๒ ในระหว่างที่ยังคงใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๐๒ อยู่ ไม่ได้ ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาของผู้ร้องทั้งสองสำนวน

Share