คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ในลักษณะนั่งล้อมเป็นวงกลมและร่วมดื่มเบียร์อยู่ท้ายรถกระบะด้วยกัน เวลาประมาณ 4 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ถูกพวกจำเลย 2 คน กระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง แล้วถูกขังไว้ในห้องที่เกิดเหตุ ต่อมาเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยไขกุญแจห้องแล้วมากระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จนสำเร็จความใคร่ การที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังเป็นเด็กถูกพรากจากบิดามารดาแล้วถูกกระทำชำเราในลักษณะโทรมเด็กหญิงและถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ในห้องที่เกิดเหตุ จำเลยซึ่งอยู่ด้วยกันก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุโทรมหญิง โดยจำเลยมีกุญแจไขประตูห้องเข้ามากระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ได้ แสดงว่าจำเลยร่วมรู้เห็นเป็นใจและเป็นตัวการร่วมกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงกับพวกมาตั้งแต่ต้น และขณะจำเลยเข้ามาในห้องที่เกิดเหตุแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 นั้น ผู้เสียหายที่ 1 ยังไม่พ้นภยันตรายจากการถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังของจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยกับพวกยังไม่ขาดตอน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 310, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม), 310 วรรคแรก, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ให้กระทงละหนึ่งในสามฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 36 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เด็กหญิง ภ. ผู้เสียหายที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2536 เป็นบุตรของนาง ศ. ผู้เสียหายที่ 2 กับนาย ป. ขณะเกิดเหตุมีอายุสิบสามปีเศษ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นาย ก. และนาย อ. จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีหมายเลขแดงที่ 3852/2552 และ 3853/2552 ของศาลชั้นต้นตามลำดับกับพวกหลายคนเป็นคนร้ายพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารแล้วร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีอายุไม่เกินสิบห้าปีอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและหน่วงเหนี่ยวกังขังไว้ สำหรับความผิดฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน อันเป็นการลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดในฐานดังกล่าวเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือไม่ ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า นาย อ. ดึงแขนของผู้เสียหายที่ 1 เข้าไปในห้องนอนในบ้านพยายามถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายที่ 1 โดยมีนาย ก. และจำเลยเข้ามาร่วมถอด เมื่อถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายที่ 1 ออกแล้ว นาย อ. เข้ามาคร่อมตัวผู้เสียหายที่ 1 แล้วเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แล้วชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ จากนั้นนาย ก. ได้เข้ามาคร่อมผู้เสียหายที่ 1 และนำอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 และทำในลักษณะเดียวกันจนสำเร็จความใคร่ จากนั้นจำเลยได้ขึ้นคร่อมผู้เสียหายที่ 1 และนำอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ในลักษณะเดียวกันจนสำเร็จความใคร่ ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 ที่ให้ถ้อยคำไว้ต่อสหวิชาชีพ ทั้งพนักงานสอบสวนเบิกความมีสาระสำคัญว่า ทั้งนาย อ. นาย ก. และจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยคนทั้งสามอยู่ด้วยกันขณะที่มีการกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียหายที่ 1 ก็เบิกความว่า ผู้เสียหายที่ 1 บอกว่าถูกกระทำชำเรา แม้ผู้เสียหายที่ 2 จะไม่แน่ใจว่ามีจำเลยกระทำชำเราด้วย แต่ก็ฟังได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 ถูกกระทำชำเราจริง ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความยืนยันว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งหากเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ผู้เสียหายที่ 1 คงไม่กล้าเบิกความยืนยันถึงการกระทำของจำเลยเพราะเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับผู้หญิง ส่วนที่จำเลยฎีกาต่อสู้ว่า จำเลยเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ภายหลังเกิดเหตุอีกวันหนึ่ง นั้น เท่ากับจำเลยรับในฎีกาว่า จำเลยเกี่ยวข้องในคดีนี้ ซึ่งตามคำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกทั้งหมดอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ในลักษณะนั่งล้อมเป็นวงกลมและร่วมดื่มเบียร์อยู่ท้ายรถกระบะ ส่วนในคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ได้ความว่า หลังจากผู้เสียหายที่ 1 ถูกกระทำชำเราเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2550 เวลาประมาณ 4 นาฬิกา แล้วก็ถูกกักขังไว้ในห้องนอนที่เกิดเหตุ ต่อมาเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยได้มาไขกุญแจห้องแล้วเข้ามากระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จนสำเร็จความใคร่ ดังนั้น การที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังเป็นเด็กถูกพรากจากบิดามารดาแล้วถูกกระทำชำเราในลักษณะโทรมเด็กหญิงและถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ในห้องที่เกิดเหตุ จำเลยซึ่งอยู่ด้วยกันก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุโทรมเด็กหญิง โดยจำเลยมีลูกกุญแจไขประตูห้องเข้ามากระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ได้ แสดงว่าจำเลยร่วมรู้เห็นเป็นใจและเป็นตัวการร่วมกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงกับพวกมาตั้งแต่ต้น และขณะจำเลยไขกุญแจเข้ามาในห้องที่เกิดเหตุแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 นั้น ผู้เสียหายที่ 1 ยังไม่พ้นภยันตรายจากการถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังของจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยกับพวกยังไม่ขาดตอน ส่วนที่นาย ก. มาเบิกความว่าจำเลยไม่ได้กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 นั้น เห็นว่า นาย ก. เป็นเพื่อนกับจำเลยอาจเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิดก็เป็นได้ คำเบิกความของนาย ก. ไม่มีน้ำหนักในการรับฟังไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share