คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลจังหวัดนครพนมมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ป. ผู้ตายและจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลจังหวัดสิงห์บุรี ตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของ ป.ผู้ตายอีก โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ในระหว่างพิจารณาคดีที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้อง จำเลยที่ 1 ในฐานผู้ร้องได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 10 มีนาคม 2525 ความว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้แล้วโดยจำเลยที่ 1 ยอมจ่ายเงินให้โจทก์ 150,000 บาท เมื่อโจทก์ได้รับเงินแล้วโจทก์ไม่ติดใจเรียกหนี้สินหรือรับผิดหนี้สินจากกองมรดกหรือขอรับมรดกจากจำเลยที่ 1 แต่ประการใด เมื่อโจทก์ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 จึงขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย โดยโจทก์จะไปจัดการขอถอนคำสั่งศาลที่ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ศาลจังหวัดนครพนมและนำหลักฐานการขอถอนคำสั่งศาลมาแสดงต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อขอรับเช็คที่ จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายโดยจำเลยที่ 1 จะนำเช็คมาวางศาลวันที่ 11 มีนาคม 2525 ซึ่งเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงิน 150,000 บาทนี้ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังค้ำประกันร่วมรับผิดด้วยแล้ว จำเลยที่ 1 ลงชื่อในคำร้องดังกล่าว ศาลสอบโจทก์เกี่ยวกับคำร้องของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่คัดค้านและลงชื่อไว้ คำร้องที่จำเลยที่ 1 ยื่นดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 มีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาซึ่งยื่นต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๕
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำร้องของจำเลยที่ ๑ เป็นเพียงคำมั่นจะให้ทรัพย์สินไม่ทำให้ข้อพิพาทระงับไป โจทก์มิใช่ทายาทในกองมรดก จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ลงชื่อในคำร้องจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจาที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำร้องของจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ.๔ ที่ยื่นต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรีในคดีหมายเลขแดงที่ ๕๑/๒๕๒๕ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวจากเอกสารหมาย จ.๑, จ.๒, จ.๓ ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันฟังได้ว่า โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครพนมอ้างว่าเป็นภริยาของนายประจวบ พิมภู ผู้ตายขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลจังหวัดนครพนม มีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรีขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายประจวบ พิมภู ผู้ตายอีกโดยอ้างว่าเป็นภริยาผู้ตายเช่นกัน โจทก์ยื่นคำคัดค้านคำร้องของจำเลยที่ ๑ อ้างว่าโจทก์เป็นภริยาของผู้ตายไม่รับรองการเป็นสามีภริยาระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ ๑ ทั้งศาลจังหวัดนครพนมได้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว ขอให้ยกคำร้องของจำเลยที่ ๑ คือคดีหมายเลขแดงที่ ๕๑/๒๕๒๕ ระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นผู้ร้องได้ยื่นคำร้อง ตามเอกสารหมาย จ.๕ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๕ ความว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงกันได้แล้วโดยจำเลยที่ ๑ ยอมจ่ายเงินให้โจทก์ ๑๕๐,๐๐๐ บาท เมื่อโจทก์ได้รับเงินแล้วโจทก์ไม่ติดใจเรียกหนี้สินหรือรับผิดหนี้สินจากกองมรดกหรือขอรับมรดกจากจำเลยที่ ๑ แต่ประการใด เมื่อโจทก์ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑ จึงขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย โดยโจทก์จะไปจัดการขอถอนคำสั่งศาลที่ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ศาลจังหวัดนครพนมและนำหลักฐานการขอถอนคำสั่งศาลมาแสดงต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรีเพื่อขอรับเช็คที่ จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายโดยจำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายโดยจำเลยที่ ๑ จะนำเช็คมาวางศาลวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๕ ซึ่งเช็คที่จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาทนี้ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้สลักหลังค้ำประกันร่วมรับผิดด้วยแล้ว จำเลยที่ ๑ ลงชื่อในคำร้องนี้ เห็นว่าคำร้องดังกล่าวในเบื้องแรกเป็นข้อเสนอของจำเลยที่ ๑ จริง แต่เมื่อโจทก์รับสำเนาคำร้องนี้แล้วและศาลสอบถามโจทก์อันเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๕ (๑) โจทก์ไม่คัดค้านการถอนฟ้องของจำเลยที่ ๑ และลงชื่อไว้ซึ่งข้อความในคำร้องก็มีว่าจำเลยที่ ๑ และโจทก์ตกลงกันได้เท่ากับโจทก์สนองรับข้อเสนอของจำเลยที่ ๑ แล้ว ข้อความในคำร้องนั้นจึงเป็นสัญญาที่ผูกพันโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นและเห็นว่าสัญญานี้คู่สัญญาประสงค์ระงับข้อพิพาทในคดีหมายเลขแดงที่ ๕๑/๒๕๒๕ ของศาลจังหวัดสิงห์บุรีที่โจทก์ตั้งข้อพิพาทกับจำเลยที่ ๑ ว่าไม่รับรองว่าจำเลยที่ ๑ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายโดยอ้างว่าโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย และศาลจังหวัดนครพนมได้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วและโจทก์ยังยอมผ่อนผันให้จำเลยที่ ๑ โดยสละสิทธิเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายรวมตลอดทั้งระงับข้อพิพาทที่จะมีขึ้นให้เสร็จไป คือโจทก์จะไม่รับมรดกของผู้ตายและเรียกหนี้สินจากกองมรดกของผู้ตายด้วย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ ซึ่งโจทก์จำเลยที่ ๑ ลงชื่อในสัญญานั้นแล้ว และคู่ความรับกันต่อไปดังปรากฏตามรายงานพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๒๕ ว่าโจทก์ได้ร้องขอถอนตอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายประจวบ พิมภู ผู้ตายแล้ว จำเลยที่ ๑ ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาส่วนของคนคือออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ มาวางศาล แต่จำเลยที่ ๑ ไม่นำเช็คมาวางศาล โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ไม่ใช่เรื่องโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ฟ้องคดีนี้ล่วงเลยระยะเวลาวันสั่งจ่ายเงินตามเช็คตามที่ตกลงกันแล้ว ดังนั้นจำเลยที่ ๑ ต้องชำระเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์พร้อมค่าเสียหายเท่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ผิดนัดไม่ได้ชำระเงินตามเช็ค คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้ออื่นอีก ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share