คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436-1439/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดซึ่งมีนายโซวิชัยเป็นผู้รับมอบอำนาจ ได้ร่วมกันนำข้อความไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ว่า มีบริษัทหลายบริษัทได้ผลิตรองเท้ายางปลอมใช้ตราดาวของจำเลย ตรานี้จำเลยได้จดทะเบียนไว้ เมื่อเป็นดังนี้จึงจำเป็นต้องนำเจ้าหน้าที่ไปจับผู้ทำการดังกล่าวมาดำเนินคดี แล้วออกชื่อโจทก์ทั้ง 4(ซึ่งความจริงโจทก์ได้ถูกจำเลยนำเจ้าพนักงานไปจับมาดำเนินคดีฐานจำหน่ายรองเท้ามีตราดาวปลอมจริง) ทั้งนี้เพื่อให้ข่าวแพร่หลายไป โดยประสงค์เพื่อกันมิให้ผู้อื่นที่จะกระทำการเลียนหรือปลอม มิได้มีเจตนาอย่างอื่น เช่นนี้ ถือว่าจำเลยเจตนาต่อสู้ป้องกันตน หรือเพื่อป้องกันประโยชน์ของตน แม้ข้อความจะทำให้โจทก์เสียหาย หรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ กรณีก็ต้องตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 283(1) จำเลยจึงไม่มีโทษฐานหมิ่นประมาท

ย่อยาว

คดีทั้ง 4 สำนวนนี้ ซึ่งศาลสั่งพิจารณารวมกัน โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 16 ถึง 23 เมษายน 2497 เวลากลางวันและกลางคือต่อเนื่องกัน จำเลยในคดีนี้ได้บังอาจสมคบกันหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ ฯลฯ โดยลงประกาศว่า “…ฯลฯ ปรากฏว่ายังมีโรงงานผลิตรองเท้ายางหลายโรงได้ละเมิดต่อเครื่องหมายการค้าตราดาวของบริษัทโดยได้บังอาจทำรองเท้ายางปลอมขึ้น โดยใช้ตราดาวของบริษัทประทับบนพื้นรองเท้า เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นรองเท้ายางที่ทำขึ้นโดยบริษัทนานยางฯ จำกัด และพ่อค้ารองเท้ายางอีกจำนวนมากก็ได้ทำการจำหน่ายรองเท้าตราดาวปลอม โดยรู้

เพื่อรักษาประโยชน์ของบริษัทนานยาง จำกัด จึงได้ดำเนินการกับโรงงานทำรองเท้ายางตราดาวปลอม โดยนำจับโรงงานทำรองเท้ายางตราดาวปลอมต่อกองปราบ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางดำเนินคดีต่อไป คือ

บริษัทไทยเยี่ยม (โรงงานยาง) จำกัด

บริษัทเคี้ยงมุ้ยอุตสาหกรรม จำกัด

บริษัทโดลี่อุตสาหกรรม จำกัด ”

ข้อความที่ลงพิมพ์เป็นข้อความหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้เสียชื่อเสียง หรืออาจทำให้คนดูหมิ่นเกลียดชัง จึงฟ้องขอให้ศาลลงโทษ และให้จำเลยพิสูจน์ความจริง

จำเลยต่อสู้คดีว่า ได้ทำไปเพื่อป้องกันและรักษาประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ๆ ได้มอบให้จำเลยที่ 1 โฆษณาในหนังสือพิมพ์ จึงได้รับความยกเว้นไม่เป็นผิด ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 283(1)

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ฎีกาขึ้นมาว่า แม้ถึงว่าพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงตามที่ศาลทั้งสองฟังต้องกันมาดังกล่าวแล้วนั้นมีความหมายหมิ่นประมาทโจทก์ก็ดี ก็ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ในการป้องกันประโยชน์แห่งการค้าของฝ่ายตนอันชอบด้วยกฎหมาย จึงต้องด้วยข้อยกเว้นตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 283(1) จึงไม่มีโทษฐานหมิ่นประมาท จึงพิพากษายืน

Share