คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1435/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยซึ่งเป็นสามีภรรยากันทำบันทึกต่อกันในฉบับแรกมีข้อความว่า ‘โจทก์จำเลยประสงค์แยกกันอยู่ โดยไม่ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน ‘ และในฉบับหลังมีข้อความว่า’ประสงค์จะแยกกันอยู่เงื่อนไขการหย่ายังไม่พูดถึง’ดังนี้ จะถือว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปฝ่ายเดียวหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายต่อมาโจทก์จำเลยประสงค์แยกกันอยู่ จึงได้ทำบันทึกไว้ ต่อมาอีกโจทก์จำเลยได้ทำบันทึกเพิ่มเติมยืนยันประสงค์แยกกันอยู่ตลอดไปอีก นับแต่นั้นจำเลยหนีจากโจทก์ จงใจละทิ้งร้างโจทก์จนบัดนี้เกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ประสงค์จะหย่าขาดจากจำเลยเพื่อสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน ให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่ ไม่ใช่กรณีจำเลยทิ้งร้างโจทก์ ไม่มีเหตุหย่า พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องอ้างเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4) ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปีแต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่โจทก์จำเลยมิได้อยู่กินฉันสามีภรรยา เพราะต่างสมัครใจแยกกันอยู่ โดยทำบันทึกต่อกันไว้ในฉบับแรกว่า โจทก์จำเลยประสงค์แยกกันอยู่ โดยไม่จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน และอีกฉบับหนึ่งว่า ประสงค์จะแยกกันอยู่ เงื่อนไขการหย่ายังไม่พูดถึง จึงไม่ใช่จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปฝ่ายเดียว หากแต่ตกลงแยกกันอยู่ด้วยความสมัครใจตามข้อตกลงที่สัญญาไว้ต่อกัน จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะขอหย่าตามมาตรา 1516(4)

พิพากษายืน

Share