แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถตรากตรำทำงานในหน้าที่พนักงานเก็บค่าโดยสารและพนักงานขับรถอันเป็นงานหนักให้จำเลยได้ กรณีถือได้ว่าโจทก์เจ็บป่วยจนหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงมีเหตุสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในระหว่างการเจรจาข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งสหภาพแรงงานฯ ที่โจทก์เป็นสมาชิกได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลยโดยที่โจทก์มิได้กระทำความผิด อันเป็นการอ้างว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 121 นั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการยื่นคำร้องกล่าวหาจำเลยต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 124 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างของจำเลย ทำหน้าที่พนักงานเก็บค่าโดยสาร ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ลาป่วยเกินสิทธิ เป็นการหย่อนสมรรถภาพในการทำงานและเลิกจ้างโดยขัดต่อกฎหมายเพราะโจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานซึ่งขณะเลิกจ้างอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาของจำเลยกับสหภาพแรงงานดังกล่าว การเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานและนับอายุงานต่อเนื่องกับให้จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์หย่อนสมรรถภาพในการทำงานโดยมีวันลาเกินสิทธิ จำเลยได้มีหนังสือเตือนหลายครั้ง โจทก์ก็ยังลาอีกเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำงาน จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสี่ลาป่วยเกินสิทธิ จำเลยได้มีหนังสือเตือนหลายครั้ง โจทก์ก็ยังลาอีก แสดงให้เห็นว่าสุขภาพของโจทก์ไม่สมบูรณ์ การเลิกจ้างจึงมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าในรอบปีงบประมาณ ๒๕๓๐ โจทก์ที่ ๑ ลาป่วย ๓๒ วัน โจทก์ที่ ๒ ลาป่วย ๔๖ วัน โจทก์ที่ ๓ ลาป่วย ๓๖ วัน และโจทก์ที่ ๔ ลาป่วย ๓๒ วัน จำเลยได้มีหนังสือเตือนหลายครั้ง โจทก์ก็ยังลาอีก แสดงให้เห็นว่าสุขภาพของโจทก์ทั้งสี่ไม่สมบูรณ์ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ไม่สามารถตรากตรำทำงานในหน้าที่พนักงานเก็บค่าโดยสารได้และโจทก์ที่ ๓ ไม่สามารถตรากตรำทำงานในหน้าที่พนักงานขับรถอันเป็นงานหนักได้ ศาลฎีกาเห็นว่าตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ การเลิกจ้างจะเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมจะต้องพิจารณาถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างเป็นกรณีไปว่ามีเหตุผลเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาแล้วว่าโจทก์ทั้งสี่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถตรากตรำทำงานในหน้าที่พนักงานเก็บค่าโดยสารและพนักงานขับรถอันเป็นงานหนักให้จำเลยได้กรณีถือได้ว่าโจทก์เจ็บป่วยจนหย่อนสมรรถภาพในการทำงาน ถือเป็นเหตุอันสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์แต่ละคนได้แล้ว การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ต่อไปจะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่อุทธรณ์ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ ในระหว่างการเจรจาข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งสหภาพแรงงานผู้ปฏิบัติงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่โจทก์เป็นสมาชิกอยู่ได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลยตามกฎหมาย โดยที่โจทก์มิได้กระทำหรือมีความผิดตามข้อยกเว้นตามบทบัญญัติมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ การเลิกจ้างโจทก์จึงมิชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา ๓๑ เห็นว่า อุทธรณ์ข้อนี้เป็นการอ้างว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๑ ซึ่งกรณีเช่นนี้โจทก์จะนำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ต่อเมื่อได้ดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ วรรคสองเสียก่อน กล่าวคือจะต้องยื่นคำร้องกล่าวหาจำเลยผู้ฝ่าฝืนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่มีการฝ่าฝืนตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๒๔ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เสียก่อนเมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดประการใดแล้วจึงจะมีอำนาจนำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการแห่งกฎหมายดังได้กล่าวมาแล้ว โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน