คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1426/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาได้ช่วยกันประกอบอาชีพทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มทวีขึ้นซึ่งโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน โจทก์จำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่ง เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมกับจำเลยโจทก์มีสิทธิขอแบ่งจากจำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์มีส่วนร่วมในการทำมาหาได้ในทรัพย์สินร่วมกับจำเลย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิแบ่งทรัพย์สินนั้นจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยได้จงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปี และไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ ระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาได้ช่วยกันประกอบอาชีพทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มทวีขึ้น โจทก์และจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวคนละครึ่ง ขอให้บังคับจำเลยหย่าขาดกับโจทก์ ให้แบ่งสินสมรสและจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์
จำเลยให้การว่า การสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 และ 1496 เพราะขณะที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยนั้น โจทก์มีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้ว จำเลยได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ตลอดมา และมิได้ละทิ้งร้างโจทก์เกินกว่า 1 ปี แต่โจทก์กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้ใส่ชื่อโจทก์ในทรัพย์สินซึ่งจำเลยถือครองอยู่ และยังได้ยื่นฟ้องจำเลยขอให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา 173 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ขอให้แบ่งทรัพย์สินมูลค่าครึ่งหนึ่ง โดยมิได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ ทรัพย์สินต่าง ๆ ตามที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งไม่ใช่สินสมรส เพราะโจทก์จำเลยไม่ใช่สามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งเป็นทรัพย์สินที่จำเลยทำมาหาได้แต่ฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2523 ปรากฏตามทะเบียนสมรสท้ายฟ้องหมายเลข 1 หรือหมาย จ.17 เป็นโมฆะ ให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง การแบ่งทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลยหากตกลงกันไม่ได้ก็ให้ประมูลราคาระหว่างกันเองหรือขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินกันคนละครึ่ง คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินจากจำเลยในฐานะเจ้าของรวมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างอยู่กินกันฉันสามีภริยาได้ช่วยกันประกอบอาชีพทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มทวีขึ้นมีมูลค่า 245,600,000 บาท ปรากฏตามรายละเอียดในบัญชีทรัพย์เอกสารท้ายฟ้อง ทรัพย์สินเหล่านี้โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกันโจทก์จำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่ง เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมกับจำเลย โจทก์มีสิทธิขอแบ่งจากจำเลยในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมได้ แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการทำมาหาได้ในทรัพย์สินที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยแบ่งให้โจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะแบ่งทรัพย์สินเหล่านั้นจากจำเลย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share