คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคดีก่อนศาลพิพากษาให้ป. และบริวารออกจากที่ดินพิพาทซึ่งในชั้นบังคับคดีโจทก์บังคับให้จำเลยออกจากที่พิพาทโดยอ้างว่าจำเลยเป็นบริวารของป. จำเลยยื่นคำร้องเมื่อวันที่6พฤศจิกายน2536ว่าไม่ใช่บริวารของป. โดยจำเลยเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทเกินกว่า1ปีแล้วระหว่างพิจารณาชั้นบังคับคดีโจทก์และจำเลยท้ากันว่าหากจำเลยกล้าสาบานต่อหน้าศาลหลักเมืองโจทก์จะยอมรับว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของป. หากไม่กล้าสาบานจำเลยจะยอมรับว่าจำเลยเป็นบริวารของป. ปรากฏว่าจำเลยสาบานได้ตามคำท้าจึงต้องถือว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของป. โจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับคดีแก่จำเลยต้องเพิกถอนการบังคับคดีแก่จำเลยฉะนั้นการที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของตนเองจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์นับแต่จำเลยครอบครองแม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเป็นยุติว่าจำเลยแย่งการครองครองที่ดินพิพาทมาก่อนหน้าที่จำเลยยื่นคำร้องนั้นเมื่อใดแต่อย่างน้อยก็เห็นได้ว่าวันที่6พฤษภาคม2536ที่จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งสิทธิของโจทก์นั้นจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1ปีนับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยวันที่28กุมภาพันธ์2538จึงเกินกำหนด1ปีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยโจทก์จะให้ถือว่าถูกแย่งการครอบครองนับแต่วันที่ศาลเพิกถอนการบังคับคดีจำเลยในคดีก่อนนั้นไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่207 ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรีห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวมาเกินกว่า1 ปี โดยสงบและเปิดเผย ที่ดินจึงตกเป็นสิทธิของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยชี้ขาดได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าก่อนคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องขับไล่นายป๋อง บัวแก้ว ให้ออกจากที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่นายป๋องและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2533 ในชั้นบังคับคดีโจทก์ขอให้บังคับจำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยเป็นบริวารของนายป๋อง จำเลยได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม2536 ว่า จำเลยไม่ใช่เป็นบริวารของนายป๋อง โดยจำเลยเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2534 เกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจบังคับคดีแก่จำเลยระหว่างพิจารณาชั้นบังคับคดี โจทก์และจำเลยท้ากันว่า หากจำเลยกล้าสาบานต่อหน้าศาลหลักเมืองจังหวัดกาญจนบุรีได้ โจทก์จะยอมรับว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนายป๋องหากไม่กล้าสาบาน จำเลยจะยอมรับว่าจำเลยเป็นบริวารของนายป๋องปรากฏว่าจำเลยสาบานได้ตามคำท้าศาลชั้นต้นจึงถือว่า โจทก์ยอมรับว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนางป๋อง โจทก์ไม่มีอำนาจบังคับคดีแก่จำเลย ให้เพิกถอนการบังคับคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม2537 มีปัญหาว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยเป็นบริวารของนายป๋อง ตามที่โจทก์ยอมรับตามคำท้าดังกล่าวเช่นนี้ จำเลยจึงครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของตนเองเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์นับแต่จำเลยครอบครอง แม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเป็นยุติว่า จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนหน้าที่จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าวนั้นเมื่อใด แต่อย่างน้อยก็เห็นได้ว่าในวันที่ 6 พฤษภาคม 2536 ที่จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งสิทธิของโจทก์นั้นจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2538 จึงเกินกำหนด 1 ปีนับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยโจทก์จะให้ถือว่าถูกแย่งการครอบครองนับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2537อันเป็นวันที่ศาลเพิกถอนการบังคับคดีจำเลยในคดีก่อนนั้นไม่มีน้ำหนักรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share