คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ระบุว่า “เพื่อเป็นหลักฐาน ข้าพเจ้าฯได้นำโฉนดที่ดินพร้อมหลักฐานต่างๆ มอบอำนาจในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเมื่อข้าฯ ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดเมื่อครบสัญญาโดยไม่ต้องฟ้องร้องต่อศาลใดๆ” ตามข้อตกลงดังกล่าวหากโจทก์หากไม่ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่ ส. บิดาจำเลย เมื่อครบกำหนดตามสัญญาก็ให้สิทธิ ส. โอนที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้เงินกู้ได้ทันทีโดยไม่คำนึงถึงราคาที่ดินพิพาทว่าจะเท่ากับราคาท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบคือเวลาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่ จึงขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสองย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม ส. ไม่มีสิทธิบังคับให้โจทก์กำหนดการโอนที่ดินพิพาท
การที่จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยขัดต่อประมวบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสองและวรรคสาม เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงลเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247
โจทก์มีคำขอให้ใส่ชื่อโจทกืเป็นเจ้าของที่ดินตามเดิมและหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แต่เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ย่อมกลับมามีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามเดิม จึงไม่จำเป็นต้องพิพากษาบังคับตามคำขอดังกล่าวของโจทก์อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10151 เมื่อประมาณปี 2524 โจทก์นำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปวางประกันเงินกู้ยืมแก่ผู้มีชื่อ โดยโจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจมอบให้แก่ผู้ที่มีชื่อยึดถือไว้แต่เมื่อโจทย์ขอรับโฉนดที่ดินดังกล่าวกลับคืนมาเพื่อนำออกขายชำระหนี้ ผู้มีชื่อกลับไม่ยอมคืนให้ โจทก์ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ พบว่าจำเลยกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ และโอนขายที่ดินของโจทก์เป็นกรรมสิทธ์ของจำเลยตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2539 โดยโจทก์มิได้ยินยอมรู้เห็น ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10151 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ฉบับลงวันที่ 25 มิถุนายน 2539 ระหว่างโจทก์กับจำเลยและให้ใส่ชื่อโจทก์กลับเข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามเดิม ด้วยทุนทรัพย์ของจำเลยเอง หากจำเลยไม่ฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2536 โจทก์กู้ยืมเงินนายสุเทพ ตั้งทวีสุข บิดาจำเลย จำนวน 4,000,000 บาท โดยมอบโฉนดที่ดินสำหรับทิ่ดินพิพาทเลขที่ 10151 ให้นายสุเทพ ยึดถือไว้ และมีข้อสัญญาว่า ถ้าโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดเมื่อครบกำหนดตามสัญาญายอมให้นายสุเทพนำหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อให้ไว้ไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ใดก็ได้ ต่อมาโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ นายสุเทพจึงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2536 โจทก์กู้ยืมเงินนายสุเทพ ตั้งทวีสุโข บิดาจำเลยจำนวน 4,000,000 บาท โดยมอบโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทเลขที่ 10151 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ตามเอกสารหมาย จ.11 และหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อโดยไม่กรอกข้อความ ตามเอกสารหมาย จ.22 ให้นายสุเทพ ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2539 จำเลยได้ใช้หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยตามหนังสือสัญญาซื้อขาย เอกสารหมาย จ.17 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าการที่จะเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยนำสืบว่า โจทก์เป็นเพื่อนนายสุเทพบิดาจำเลย เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2536 โจทก์กู้ยืมเงินนายสุเทพจำนวน 4,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระหนี้ภายใน 2 ปี โดยโจทก์มอบโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.11 พร้อมหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.22 และหลักฐานต่างๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้นายสุเทพยึดถือไว้โดยมีข้อตกลงว่า หากโจทก์ไม่ชำระหนี้ยอมให้นายสุเทพโอนที่ดินพิพาทตีใช้หนี้ได้ทันทีตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย ล.3 ปรากฏว่าโจทก์ผิดนัดและมีหนี้ค้างชำระแก่นายสุเทพรวมเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้น 6,780,928 บาท นายสุเทพจึงให้จำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.22 ไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยในราคา 4,000,000 บาท ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.17 และทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้ที่เหลืออีก 2,000,000 บาท ตามหนังสือทวงถามเอกสารหมาย จ.16 เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่จำเลยนำสืบดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่นายสุเทพผู้ให้ยืมยอมรับเอาทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืม ไม่ปรากฏว่าโจทก์กับนายสุเทพได้มีการตกลงกันก่อนว่าที่ดินพิพาทที่ตีใช้หนี้เงินยืมมีราคาเท่าใด เท่ากับราคาท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบหรือไม่ โดยหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย ล.3 ข้อ 3. ระบุว่า “เพื่อเป็นหลักฐาน ข้าพเจ้าฯ ได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 10151 เนื้อที่ 1 ไร่ 28 วา ตั้งอยู่ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมหลักฐานต่างๆ มอบอำนาจในการโอนกรรมสิทธิ์ทิ่ดินเมื่อข้าฯ ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดเมื่อครบสัญญาโดยไม่ต้องฟ้องร้องต่อศาลใดๆ” จากข้อตกลงดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าหากโจทก์ไม่ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายสุเทพเมื่อครบกำหนดตามสัญญา ก็ให้สิทธินายสุเทพโอนที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้เงินกู้ได้ทันที โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ดินพิพาทว่าจะเท่ากับราคาท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบคือเวลาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่ ข้อตกลงดังกล่าวจึงขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสอง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม นายสุเทพหามีสิทธิบังคับให้โจทก์ดำเนินการโอนที่ดินพิพาทไม่ การที่จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยขัดต่อมาตรา 656 วรรคสอง และวรรคสาม ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเพราะเป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติห้ามไว้โดยชัดแจ้งเพื่อป้องกันมิให้ผู้กู้ยืมถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้กู้ยืม ปัญหานี้จึงเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป แต่ที่โจทก์มีคำขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามเดิมและหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้น เห็นว่า เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ย่อมกลับมามีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามเดิม โดยไม่จำเป็นต้องบังคับตามคำขอดังกล่าวของโจทก์อีก”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10151 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ฉบับลงวันที่ 25 มิถุนายน 2539 ระหว่างโจทก์กับจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก

Share