แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ โดยฟังว่าจำเลยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีไม่สมควรให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบแทนที่จำเลยจะฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องอย่างไร กลับฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยและสัญญาเช่าอาคารพิพาทเป็นสัญญาเช่าพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งเพราะมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และเป็นฎีกาข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 155/14 ถึง 15ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานครจำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาท และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 17,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากบ้านพิพาทดังกล่าว
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณาสัญญาเช่าที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยไม่ได้ประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์ ย่อมไม่ผูกพันโจทก์ และการรถไฟแห่งประเทศไทยยังไม่ได้เรียกที่ดินที่สร้างบ้านพิพาทคืนโจทก์ไม่เสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ โดยฟังว่าจำเลยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดี ไม่สมควรให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ แต่แทนที่จำเลยจะฎีกาที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องอย่างไรจำเลยกลับฎีกามาเป็นสำคัญว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยและสัญญาเช่าอาคารพิพาทเป็นสัญญาเช่าพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ดังนี้เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง เพราะมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทั้งยังเป็นฎีกาข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ด้วยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย