คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 141/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการปล้นทรัพย์ คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร เฉพาะทองรูปพรรณ ล็อกเกต และสร้อยคอ ซึ่งทรัพย์ดังกล่าวผู้เสียหายได้รับคืนไปแล้ว ดังนี้จำเลยจึงไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ส่วนที่ยังไม่ได้คืนให้แก่ผู้เสียหายอีก ปัญหานี้แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 84,86, 340, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ริบของกลางอันดับ 7, 8, 22 ส่วนอันดับ 3, 4, 9, 15, 18, 20 คืนเจ้าของ ให้จำเลยร่วมกันคืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย หรือมิฉะนั้นให้ชดใช้เงินจำนวน130,900 บาทแก่ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้นและศาลจังหวัดนราธิวาส
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 วางโทษจำคุก 16 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 12 ปี นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 665/2529 ของศาลชั้นต้น และคดีอาญาหมายเลขแดงที่1131/2530 และ 1132/2530 ของศาลจังหวัดนราธิวาส จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง วางโทษจำคุก 4 ปีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 3 ปี ของกลางศาลสั่งริบไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 834/2529 ของศาลชั้นต้นแล้ว ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 130,900 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ 1 ได้นำทองคำรูปพรรณเป็นล็อกเกตและสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึงไปให้นายชุมพี่เขยของจำเลยที่ 1 ช่วยขาย โดยจำเลยที่ 1 ได้รับทองคำรูปพรรณดังกล่าวไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ อันเป็นความผิดฐานรับของโจร พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสองวางโทษจำคุก 4 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ” พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้คนร้ายทั้งสามคนปล้นทรัพย์ผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า ผู้ที่จะมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้น จะต้องได้ความว่าผู้นั้นกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือได้ความสะดวกนั้นก็ตาม คดีสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1ได้กระทำการใดบ้างที่จะล่อแสดงให้ได้ความชัดว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการปล้นทรัพย์ของคนร้ายทั้งสาม คงมีแต่ผู้เสียหายเบิกความว่า เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนมอบรถจักรยานยนต์ให้คนร้าย ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของอาวุธปืนที่ใช้ปล้น พยานผู้เสียหายจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า ส่วนเรื่องอาวุธปืนของกลางผู้เสียหายเบิกความว่า อาวุธปืนที่เจ้าพนักงานตำรวจนำมาให้พยานดูรวม 2 กระบอก พยานดูแล้วจำได้ว่าเป็นอาวุธปืนที่คนร้ายใช้จี้พยานในวันเกิดเหตุ โดยผู้เสียหายอ้างถึงเหตุที่จำได้เพียงว่าดูจากลักษณะเหมือนกันไม่ได้ให้เหตุผลอื่นใดเป็นพิเศษที่จะให้มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าผู้เสียหายจำอาวุธปืนได้ทั้งสองกระบอกจริง เรื่องรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้ในการพาทรัพย์หลบหนีไปก็เช่นเดียวกัน ผู้เสียหายเบิกความลอย ๆแต่เพียงว่า ดูรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอยะรังจำได้ว่าเป็นคันที่คนร้ายใช้ในวันเกิดเหตุ โดยไม่บอกถึงเหตุผลที่จำได้ ทั้งยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่าเห็นแต่เพียงข้างหลังไม่ทราบว่ายี่ห้ออะไร จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจำรถจักรยานยนต์ได้จริง พันตำรวจโทฉลอง ทองจันทร์พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ที่จับจำเลยที่ 1 มีแต่คำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน และยึดได้จดหมายที่จำเลยที่ 1 เขียนถึงคนร้ายที่ปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาตรวจดูจดหมายของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมายจ 5 ก็ไม่มีข้อความใดที่ระบุหรือพาดพิงถึงว่าจำเลยที่ 1 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก คนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย พยานโจทก์คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ 6 ที่ให้การว่าได้มีการนั่งปรึกษาเพื่อวางแผนปล้นที่บ้านของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ทราบว่าจะปล้นที่ร้านไหน เพราะนายวีระ นายมนูญ นายอับดุลเลาะจะไปทำการปล้นกันเอง จำเลยที่ 1 ได้มอบอาวุธปืนลูกซองสั้น 2 กระบอกให้นายอับดุลเลาะ และให้รถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2หลังจากนั้นคนทั้งสามก็ซ้อนท้ายกันออกไป ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า จำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสซักค้านและจำเลยที่ 1 ก็ให้การปฏิเสธอยู่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังว่าจำเลยที่ 1มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการปล้นทรัพย์ดังที่โจทก์ฎีกาศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ 1 ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 รับของโจรเฉพาะทองคำรูปพรรณเป็นล็อกเกตและสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง เท่านั้นซึ่งทรัพย์ดังกล่าวปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับคืนไปแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการปล้นทรัพย์รายนี้จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายอีก แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 1คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share