คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีสัญญากู้มาแสดงต่อศาล โดยสัญญากู้ดังกล่าวกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจโดยผู้เชี่ยวชาญของศาลทำการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อและรายงานว่าลายมือชื่อในสัญญากู้กับลายมือชื่อของจำเลยน่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันการที่จำเลยอ้างว่าเป็นลายมือปลอม และมีแต่พยานบุคคลมาสืบว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยนั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างการพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือตามหลักวิชาการได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์โดยนำโฉนดที่ดินมอบให้โจทก์ไว้เป็นประกัน จำเลยที่ 2 ยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระจำเลยที่ 2 ยอมชดใช้แทนทั้งสิ้น นับแต่จำเลยที่ 1 กู้เงินไป มิได้ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์เลย เมื่อครบกำหนดตามสัญญากู้จำเลยทั้งสองไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 110,250 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้น 100,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้เงินโจทก์ ไม่เคยทำสัญญากู้และนำโฉนดที่ดินไปให้โจทก์ยึดไว้เลย สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอม ลายมือในช่องผู้กู้เป็นลายมือปลอม จำเลยที่ 2สมคบกับโจทก์ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินปลอมขึ้น โดยจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 110,250 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้น 100,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้น100,000 บาท ดอกเบี้ย 6,500 บาท รวม 106,500 บาท แก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาทแทนโจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์มีสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 มาแสดงเป็นหลักฐานว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวน100,000 บาท โดยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 24381 ของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน และมีนายวุฒิ ยุกแผนและนายสุวรรณ ยุกแผน มาเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยที่ 1 ได้ส่งสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไปให้กองพิสูจน์หลักฐานของกรมตำรวจโดยผู้เชี่ยวชาญของศาลทำการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ผู้เชี่ยวชาญก็รายงานว่าลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน และโจทก์ยังมีจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันการยืมเงินของจำเลยที่ 1 มาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ยืมเงินไปจากโจทก์จริง พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินและรับเงินจากโจทก์ไปจริงดังฟ้อง ที่พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันเรื่องความสูงต่ำของตัวจำเลยที่ 1 ก็อาจเป็นเพราะพยานคาดคะเนความสูงต่ำจากความรู้สึกของพยานที่แตกต่างกัน ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินเป็นเพียงลายมือปลอมก็เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย และจำเลยที่ 1 ก็มีแต่พยานบุคคลมาสืบว่า ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างการพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือตามหลักวิชาการได้ ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน.

Share