แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ช. ผู้สั่งจ่ายเช็คทำเอกสารหมาย จ.3  รับรองว่า จำเลยที่ 1  ซึ่งเป็นผู้กู้เป็นผู้ทรงเช็คจริง  แต่ขณะนี้ยังขัดข้อง ช. ยอมเป็นผู้รับเรือน  ยอมรับผิดที่จะต้องใช้เงินแทนจำเลยที่ 1 เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง  โดยขอผัดชำระหนี้ไปภายในเดือนกรกฎาคม 2505  เมื่อผู้รับเรือนใช้หนี้รายนี้เสร็จแล้ว  หนี้สินเดิมจึงจะเสร็จสิ้นกัน  ไม่มีข้อความตอนใดว่า  การที่ช. ยอมเข้ามาเป็นผู้รับเรือนและยอมใช้หนี้เงินกู้รายนี้เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว  จะให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 หลุดพ้น ดังนี้  สัญญาตามเอกสารหมาย จ.3  จึงมิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลบที่ 1 มาเป็น ช. หนี้เงินกู้จึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและฎีกาที่ 349
แม้ ช. จะได้ออกเช็คให้โจทก์ผู้ให้กู้  แต่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค  หนี้จึงไม่ระงับสิ้นไป  ตามประมวลกฎหมายและแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 321
หลังจากที่จำเลยที่ 1 นำช. เข้ามาผูกพันกับหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2  กู้ไปจากโจทก์แล้ว  การติดต่อทวงถามหนี้ได้เป็นไปเพียงระหว่างโจทก์กับ ช. เท่านั้น  โจทก์กับ ช. ตกลงผ่อนการชำระหนี้แก่กัน ช. ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ 4 ครั้ง ดังนี้  พฤติการณ์ของ ช. หาใช่เป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้แต่ประการใดไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑  ที่ ๒  ใช้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยจำนวน ๖๓,๕๐๐ บาท  และถ้าไม่ชำระให้จำเลยที่ ๓  ชำระแทนในฐานะผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ ๑  ที่ ๒ ให้การว่า  ได้ชำระแล้ว  จำเลยที่ ๓  ให้การว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒  ได้ชำระแล้ว  และก่อนชำระโจทก์ผ่อนเวลาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๒  ช. ให้เงินกู้ ๔๐,๐๐๐ บาท   และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี  ในต้นเงิน ๔๐,๐๐ บาท   นับแต่วันกู้ถึงวันฟ้อง  ให้โจทก์กับให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี  (ตามฟ้องขอท้ายฟ้อง)  ในต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท   ต่อจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ  หากจำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๒ ไม่ใช้  ก็ให้จำเลยที่ ๓ ใช้แทน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า  ให้จำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๒  ชำระต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท  กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี  ในต้นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท  นับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๕  จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖๓,๕๐๐ บาทให้โจทก์  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า  จำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๒  ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๔๐,๐๐๐ บาท  จำเลยที่ ๑  มอบเช็คของจำเลยที่ ๑  เป็นประกัน  จำเลยที่ ๓  เป็นผู้ค้ำประกัน  ถึงกำหนดชำระต้นเงินกู้  จำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๒ ไม่ชำระและขอผัดไป  จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนเช็คจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท  ให้โจทก์ใหม่  ต่อมาวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๐๕  จำเลยที่ ๑ นำนายชัยลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับหนี้เงินกู้รายนี้โดยโจทก์จำเลยที่ ๑  นายชัยลักษณ์ได้ทำบันทึกข้อตกลงไว้  และได้มอบเช็คของนายชัยลักษณ์ให้โจทก์ไว้  จำนวนเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท  ต่อมานายชัยลักษณ์ไม่มีเงินให้โจทก์ตามเช็ค  นายชัยลักษณ์จึงเปลี่ยนเช็คให้โจทก์ใหม่เป็น ๕ ฉบับ  ฉบับละหนึ่งหมื่นบาท  ต่อมาโจทก์รับเงินตามเช็คที่นายชัยลักษณ์ออกให้ไม่ได้  ศาลฎีกาเห็นว่า  ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าได้มีการเปลี่ยนตัวนายชัยลักษณ์เป็นลูกหนี้แทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒  โจทก์มีเอกสารหมาย จ.๓  ซึ่งจำเลยที่ ๑  และนายชัยลักษณ์ว่า  เมื่อมีการตกลงนำนายชัยลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับหนี้เงินกู้  ได้ทำเอกสารกันไว้ดังกล่าว   มีความว่า วันนี้นายสุพรรณ (จำเลย)  นำนายชัยลักษณ์เจ้าของเช็คเลขที่ ข.๒๔๘๔๐๒๙  ลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๕  จำนวนเงินห้าหมื่นบาทซึ่งนายสุพรรณเป็นผู้ทรงเช็คฉบับนี้  เอามาใช้หนี้ให้พระนนทประชา  นายชัยลักษณ์ผู้สั่งจ่ายรับรองว่านายสุพรรณเป็นผู้ทรงเช็คนี้จริง  แต่ขณะนี้ยังขัดจ้องเรื่องหนังเข้าฉายตามโรงที่บุ๊กไว้ให้ไม่ได้  นายชัยลักษณ์ยอมเป็นผู้รับเรือน  ยอมรับผิดชอบที่จะต้องใช้เงินจำนวนห้าหมื่นบาทแทนนายสุพรรณเพิ่มขึ้นคนหนึ่งโดยขอผัดจะชำระหนี้ ๕๐,๐๐๐ บาทนี้ไปภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๕๖  ไม่ให้ผิดนัดได้  เมื่อผู้รับเรือนใช้หนี้รายนี้ให้เสร็จสิ้นแล้ว  หนี้เดิมจึงจะสิ้นกัน  ข้อความในเอกสารนี้มีข้อความชัดว่า  การที่นายชัยลักษณ์เข้ามาผูกพันกับหนี้เงินกู้รายนี้โดยจำเลยที่ ๑  นำเข้ามาเป็นผู้รับเรือนเข้าประกันจำเลยที่ ๓ อีกชั้นหนึ่ง  และยอมรับผิดชอบใช้เงินแทนจำเลยที่ ๑  เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง  ไม่มีข้อความตอนใดว่า  การที่นายชัยลักษณ์ยอมเข้ามาเป็นผู้รับเรือนและยอมรับใช้หนี้เงินกู้รายนี้เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้วจะให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นไปจากความรับผิดหนี้เงินกู้รายนี้  ข้อความในเอกสารต่อไปมีว่า  เมื่อนายชัยลักษณ์ใช้หนี้รายนี้เสร็จสิ้นแล้วหนี้สินเดิมจึงจะเสร็จสิ้นกัน  เป็นการยืนยันว่าหนี้เงินกู้เดิมที่จำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๒ กู้ไปนั้น  คงผูกพันจำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๒  อยู่ตลอดไปจนกว่านายชัยลักษณ์จะใช้หนี้รายนี้เสร็จสิ้น  ดังนี้  สัญญาตามเอกสารหมาย จ.๓  จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยที่ ๑  มาเป็นนายชัยลักษณ์ดังที่จำเลยฎีกา หนี้เงินกู้รายนี้จึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๓๔๙
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า  เมื่อนายชัยลักษณ์ออกเช็คเลขที่ดังกล่าวให้โจทก์แล้ว  ต่อมานายชัยลักษณ์ไม่มีเงินชำระหนี้ให้โจทก์  นายชัยลักษณ์จึงขอเปลี่ยนเช็คใหม่เป็นเช็คฉบับละหนึ่งหมื่นบาทรวม ๕ ฉบับ  ให้โจทก์ ในที่สุดนายชัยลักษณ์ก็ไม่มีเงินชำระ  จึงฟังได้ว่าโจทก์ยังไม่ได้ชำระต้นเงินกู้รายนี้เลย  แม้ตายชัยลักษณ์จะได้ออกเช็คให้โจทก์  แต่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็คนั้น  หนี้รายนี้จึงไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑
ที่จำเลยฎีกาว่า  หลังจากที่จำเลยที่ ๑ นำนายชัยลักษณ์เข้ามาผูกพันกับหนี้รายนี้แล้ว  ปรากฏว่าการติดต่อทวงถามหนี้รายนี้ได้เป็นไปเพียงระหว่างโจทก์กับนายชัยลักษณ์เท่านั้น  โจทก์กับนายชัยลักษณ์ตกลงผ่อนการชำระหนี้แก่กันโดยตรง  นายชัยลักษณ์ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์รวม ๔ ครั้ง  เป็นพฤติการณ์เปลี่ยนตัวลูกหนี้มาเป็นนายชัยลักษณ์  เห็นว่า  พฤติการณ์ของนายชัยลักษณ์ดังที่จำเลยฎีกามานั้น  หาใช่เป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ประการใดไม่
พิพากษายืน
