คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันถึงบุคคลภายนอกคดีด้วย
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียง 2 ปี แทนที่จะเป็น 5 ปีดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วศาลอุทธรณ์จึงใช้ดุลพินิจให้ค่าทนายเป็นพับ ทั้งๆ ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้าง และด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ชนรถโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยที่ ๑ ไม่มีพยานมาสืบ
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยกำหนดค่าเสียหาย (เฉพาะ) ในเรื่อง ขาดรายได้กำหนดให้เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท เป็นระยะเวลา ๕ ปี พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ขาดรายได้จากการสอนพลศึกษาแก่โจทก์เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท กำหนดเวลา ๒ ปี ส่วนค่าเสียหายนอกจากนี้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น ค่าธรรมเนียมและค่าทนายชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ และโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) จะได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มิได้กระทำผิดดังฟ้องโจทก์ก็ตาม แต่ปรากฏว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาที่จำเลยที่ ๑ ถูกฟ้องด้วยแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ เป็นบุคคลภายนอก ซึ่งมาตรา ๔๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันถึงบุคคลภายนอกคดีด้วย ฎีกาจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาของโจทก์ที่ว่าควรได้รับเงินค่าขาดรายได้จากการสอนเป็นเวลา ๕ ปี ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สมควรคิดให้เป็นเวลา ๕ ปี
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ค่าธรรมเนียมค่าทนายเป็นพับนั้นยังไม่ถูก โจทก์ควรได้รับชดใช้ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ควรจะได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียง ๒ ปี แทนที่จะได้รับ ๕ ปีดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฉะนั้น ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ให้ค่าธรรมเนียมค่าทนายในชั้นศาลอุทธรณ์เป็นพับ จึงเป็นการชอบแล้ว
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share