แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ก่อให้จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันฆ่า ส. ผู้เสียหายและ อ. ผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อมา จำเลยที่ 1 กับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและผู้ตายหลายนัดโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเนื่องจากถูกใช้ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริมจากจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ขัดแย้งกับผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 มอบอาวุธปืนและบอกให้จำเลยที่ 1 สั่งสอนผู้เสียหาย การมอบอาวุธปืนมีกระสุนปืนหลายนัดให้จำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 2 ว่าให้จำเลยที่ 1 สั่งสอนผู้เสียหายโดยใช้ปืนยิงและย่อมเล็งเห็นได้ว่าหากผู้เสียหายไม่ตายก็ย่อมได้รับบาดเจ็บจากบาดแผลกระสุนปืน จึงเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดโดยเจตนาตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำตามที่จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 289 (4), 80 ประกอบมาตรา 84 วรรคสอง และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้จัก ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 บอกให้จำเลยที่ 1 ไปสั่งสอนผู้เสียหายให้เข็ดหลาบ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ทราบเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายนัดหมายผู้ตายมารับเพื่อเดินทางกลับบ้าน ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดตามผู้เสียหายและผู้ตายไป ตามพฤติการณ์จำเลยที่ 2 ไม่อาจคาดหมายว่าจำเลยที่ 1 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายด้วย การที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาก่อให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทางพิจารณาโจทก์สืบไม่สมฟ้องในความผิดฐานดังกล่าว จึงต้องยกฟ้องในข้อหานี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 84, 91, 289, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบเศษทองแดงรองลูกกระสุนปืนและรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และให้การรับว่าใช้อาวุธปืนยิงนางอำพร ผู้ตาย และนายสากล ผู้เสียหาย แต่กระทำไปโดยบันดาลโทสะ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 289 (4) ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ด้วย และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคสอง ประกอบมาตรา 289 (4), 296, 84 และมาตรา 87 ด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 15 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นคงจำคุก 25 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน คงจำคุก 6 เดือนฐานร่วมกันพาอาวุธปืน คงจำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 25 ปี12 เดือน คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเป็นผู้ใช้ให้ทำร้ายผู้อื่นจนผู้นั้นถึงแก่ความตาย คงจำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน คงจำคุก 8 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 ปี 8 เดือน ริบเศษทองแดงรองลูกกระสุนปืนและรถจักรยานยนต์ของกลาง ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 84 วรรคสอง, 83, 52 (1) จำคุกตลอดชีวิต คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 หนึ่งในสาม คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เป็นจำคุก 33 ปี 12 เดือน ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น (ผู้เสียหาย) โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น (ผู้ตาย) โดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายและผู้ตายมาก่อนไม่มีมูลเหตุจูงใจที่จะใช้ให้จำเลยที่ 1 ไปฆ่าบุคคลทั้งสอง เพียงแต่มีเจตนาให้จำเลยที่ 1 สั่งสอนผู้เสียหายให้หลาบจำไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือก่อความวุ่นวายกับกิจการร้านคาราโอเกะของจำเลยที่ 2 เท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่ประสงค์ให้เกิดผลการตายโดยตรง และไม่สามารถเล็งเห็นผลว่าจะเกิดขึ้น เพราะเจตนาที่จำเลยที่ 1 ขอยืมอาวุธปืนจากจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปป้องกันตัว การที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายและผู้ตายย่อมเกินเลยไปจากขอบเขตที่จำเลยที่ 2 ใช้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 ส่วนโจทก์ฎีกาว่า กรณีที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายเป็นการกระทำโดยพลาดต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 แม้ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ไปฆ่าผู้ตาย แต่ผลการกระทำที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่จำเลยที่ 2 ใช้เกิดกับผู้ตายด้วยต้องถือว่าความตายเกิดจากการที่จำเลยที่ 2 ใช้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 อาจเล็งเห็นได้อยู่แล้วว่าการที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหายและกระสุนปืนพลาดไปถูกผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบไม่แตกต่างจากฟ้องในข้อสาระสำคัญแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า ในส่วนความผิดที่กระทำต่อผู้เสียหายนั้น ตามข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 มีเรื่องขัดแย้งกับผู้เสียหายที่เมาสุราแล้วก่อกวนก่อความรำคาญให้ลูกค้าของร้านคาราโอเกะของจำเลยที่ 2 โดยตรง เมื่อจำเลยที่ 1 สอบถามจำเลยที่ 2 ว่าจะให้จัดการอย่างไร จำเลยที่ 2 ก็มอบอาวุธปืนให้และบอกให้จำเลยที่ 1 สั่งสอนผู้เสียหาย โดยสภาพของอาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรงใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตของผู้อื่นได้ โดยสภาพมิใช่ใช้ตีทำร้าย และการที่มอบให้พร้อมกับบอกว่าให้สั่งสอนผู้เสียหาย จึงมิใช่มอบให้สำหรับใช้ป้องกันตัว และเหตุการณ์ต่อมาจำเลยที่ 1 ก็เป็นฝ่ายติดตามผู้เสียหายไปและใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย การมอบอาวุธปืนมีกระสุนหลายนัดให้จำเลยที่ 1 เช่นนี้แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 2 ว่าให้จำเลยที่ 1 สั่งสอนผู้เสียหายโดยใช้ปืนยิงนั่นเอง และการยิงย่อมเล็งเห็นได้ว่า หากผู้เสียหายไม่ตายก็ย่อมได้รับบาดเจ็บจากบาดแผลกระสุนปืน การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 2 มอบให้ยิงผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำตามที่จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 80 ประกอบมาตรา 84 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดฐานนี้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามพยานหลักฐานโจทก์เองว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้จักไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 บอกให้จำเลยที่ 1 ไปสั่งสอนผู้เสียหายให้เข็ดหลาบ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ทราบเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายซึ่งดื่มสุราอยู่ที่ร้านอื่นโทรศัพท์นัดหมายให้ผู้ตายซึ่งเป็นคู่รักของตนขับรถจักรยานยนต์รับผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายออกจากร้านดังกล่าวเพื่อเดินทางกลับบ้าน ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่ได้ติดตามผู้เสียหายและผู้ตายไป ตามพฤติการณ์จำเลยที่ 2 ไม่อาจคาดหมายได้ว่าจำเลยที่ 1 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายด้วย การที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ พฤติการณ์แห่งคดียังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาก่อให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทางพิจารณาโจทก์สืบไม่สมฟ้องในความผิดฐานดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องในข้อหานี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน