แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยสถานเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน (โจทก์จำเลยทั้งสองสำนวนเป็นคู่ความเดียวกัน)
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คโดยประทับตราสำคัญของห้างจำเลยที่ 1 และมีจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับอาวัลรวม 6 ฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ โจทก์ได้นำเช็คทั้ง 6 ฉบับไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินโดยแจ้งว่าบัญชีปิดแล้ว ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คฯ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2ทั้งสองสำนวน ส่วนจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้องทั้งสองสำนวน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ให้เรียงกระทงลงโทษรวม 6 กระทง ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 20,000 บาท เป็นเงิน 120,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละสิบเดือนรวมห้าปี
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 คงรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างโดยลงโทษปรับจำเลยที่ 1 สถานเดียว จำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์มีส่วนร่วมและสมยอมให้มีการกระทำผิดโดยโจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินในธนาคารก็ดีโจทก์ยอมรับเอาเช็คพิพาทไว้เพื่อเป็นประกันเท่านั้นก็ดี ล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาทั้งสิ้น
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 1 เสียทั้งสองสำนวน