คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13894/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงิน 4,912,961.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยโดยอ้างแต่เพียงว่าโจทก์ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้นต้น มิได้ดำเนินการขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเกี่ยวกับจำนวนเงินค่าเสียหายในคดีดังกล่าว เพราะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ไปก่อนแล้วนั้น ไม่ใช่การโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่วินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้นต้น มีผลผูกพันโจทก์ร่วมว่า จำเลยร่วมกันทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ร่วมไปจำนวน 4,496,323.83 บาท ว่ามีเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ฎีกาของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้ว่ากล่าวไว้โดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างในฎีกา ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ปัญหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทและปราศจากอำนาจเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่เงินงบประมาณขาดไปจำนวน 1,075,244.83 บาท หรือไม่ โดยโจทก์ฟ้องว่า เงินงบประมาณดำเนินการก่อสร้างชลประทานขนาดเล็กเร่งด่วนทั้ง 9 โครงการที่เกิดเหตุ โจทก์ได้รับมารวมกันเป็นเงิน 17,083,000 บาท การเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างจนเสร็จสิ้นมีใบสำคัญค่าพัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นเงิน 9,048,728.17 บาท และใบสำคัญค่าจ้างเหมาแรงงานเป็นเงิน 6,959,027 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นเพียง 16,007,755.17 บาท ต้องมีเงินงบประมาณเหลือ 1,075,244.83 บาท แต่หลังเกิดเหตุคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เบิกจ่ายเงินงบประมาณไปหมดสิ้นแล้ว จึงเป็นเรื่องเงินขาดบัญชีต่างหากนอกเหนือไปจากที่จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกไปโดยทำใบสำคัญจัดซื้อ ตรวจรับและเบิกจ่ายพัสดุเป็นเท็จ โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดเฉพาะส่วนนี้เป็นส่วนตัวในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ จึงเป็นข้อเท็จจริงคนละประเด็นต่างหากจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้นต้น ศาลมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้โดยไม่จำต้องถือเอาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา เพราะไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันและแทนกันใช้เงินจำนวน 5,588,493.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,912,961.17 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวน 1,223,090.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,075,244.83 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 และที่ 7 ถึงแก่ความตาย นายปริญญาและนางยุพิน ทายาทของจำเลยที่ 1 และที่ 7 ตามลำดับ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,496,323.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 สิงหาคม 2526) ต้องไม่เกิน 675,532.13 บาท และหากมีการชำระหนี้ตามคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2236/2526 หมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้นต้น เป็นจำนวนเพียงใด ให้ถือว่ามีการชำระหนี้ในคดีนี้เพียงนั้น คำขออื่นให้ยก ให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 จำเลยที่ 4 และที่ 5 ถึงแก่ความตาย นางมะลิ ทายาทของจำเลยที่ 4 และนายวัชรพงษ์ ทายาทของจำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 4,496,323.83 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2524 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 675,532.13 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกพันโทธิติชัย และนายธีรชาติ ทายาทของจำเลยที่ 3 เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกามีคำสั่งตั้งผู้ถูกเรียกเป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อปี 2524 โจทก์ได้รับงบประมาณสำหรับโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งแซงบาดาล จังหวัดร้อยเอ็ด และโครงการชลประทานขนาดเล็ก จังหวัดร้อยเอ็ด ให้ดำเนินการก่อสร้างชลประทานขนาดเล็กเร่งด่วนตามความต้องการของประชาชนจำนวน 9 แห่ง ของสำนักงานชลประทานที่ 5 ในวงเงินงบประมาณจำนวน 17,083,000 บาท แบ่งได้ดังนี้ 1. โครงการอ่างเก็บน้ำหนองโก บ้านหนองโก จำนวนเงิน 1,576,000 บาท 2. โครงการอ่างเก็บน้ำวังหิน บ้านก่อ จำนวนเงิน 1,713,000 บาท 3. โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกลอย บ้านหนองเดิ่ม จำนวนเงิน 2,942,000 บาท 4. โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกลอย บ้านโคกสี จำนวนเงิน 1,918,000 บาท 5. โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยแกว บ้านนาแพง จำนวนเงิน 3,257,000 บาท 6. โครงการอ่างเก็บน้ำหัวยยาง บ้านสีเสียด จำนวนเงิน 2,217,000 บาท 7. โครงการอ่างเก็บน้ำกุดสนามแข้ บ้านโพธิ์ชัย จำนวนเงิน 1,102,000 บาท 8. โครงการอ่างเก็บน้ำหนองแดง บ้านหนองแดง จำนวนเงิน 1,040,000 บาท 9. โครงการอ่างเก็บน้ำกุดสบู่ บ้านกุดเรือ จำนวนเงิน 1,318,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เป็นข้าราชการและลูกจ้างประจำในสังกัดของโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 5 มีหน้าที่บริหารงานชลประทานในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร จำเลยที่ 2 เป็นนายช่างชลประทาน 6 ทำหน้าที่นายช่างหัวหน้าโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งแซงบาดาล จังหวัดร้อยเอ็ด และมีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำหรือชลประทานขนาดเล็กทั้ง 9 แห่ง มีอำนาจหน้าที่ซื้อ ทำเอกสาร รับเอกสาร และกรอกข้อความลงในเอกสารจัดหาพัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ควบคุมการก่อสร้างงานชลประทานให้เป็นไปตามแบบแปลนแผนผังควบคุมการเบิกจ่ายเงินค่าซื้อพัสดุและตรวจรับพัสดุที่สั่งซื้อ จำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าพัสดุโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งแซงบาดาล มีอำนาจหน้าที่ในการจัดซื้อพัสดุในการก่อสร้างจัดจ้าง ทำบัญชีเบิกจ่ายและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 4 เป็นนายช่างชลประทาน 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งแซงบาดาล อยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 5 เป็นพนักงานบัญชีชั้น 2 ทำหน้าที่หัวหน้าการเงินและบัญชีโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งแซงบาดาล มีหน้าที่เบิกจ่าย เก็บรักษาและทำบัญชีเกี่ยวกับการเงิน จำเลยที่ 6 เป็นพนักงานพัสดุชั้น 4 ประจำโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งแซงบาดาล จำเลยที่ 7 เป็นช่างก่อสร้างชั้น 2 ทำหน้าที่หัวหน้าตอน 3 โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งแซงบาดาล จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการจัดซื้อจัดหาวัสดุก่อสร้าง โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 เป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นประธานกรรมการ เมื่อระหว่างเดือนมกราคม 2524 ถึงเดือนกันยายน 2524 จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันดำเนินการจัดซื้อและตรวจรับพัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ 9 โครงการ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยกลอย บ้านโคกสี อ่างเก็บน้ำห้วยกลอย บ้านหนองเดิ่ม อ่างเก็บน้ำหนองวังหิน อ่างเก็บน้ำหนองแดง อ่างเก็บน้ำกุดสนามแข้ อ่างเก็บน้ำหนองโก อ่างเก็บน้ำกุดสบู่ อ่างเก็บน้ำห้วยยางและอ่างเก็บน้ำห้วยแกว โดยทุจริตและโดยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบราชการว่าด้วยการจัดซื้อและตรวจรับพัสดุ แต่ให้มีการนำวัสดุก่อสร้างจากร้านค้าไปใช้ในการก่อสร้างก่อนที่จะได้รับเงินงบประมาณแล้วทำหลักฐานการจัดซื้อและตรวจรับพัสดุย้อนหลัง โดยไม่มีการเสนอราคาหรือต่อรองราคา ไม่มีการตรวจรับพัสดุจริงทั้งมีปริมาณเกินกว่าที่ใช้จริง อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและเป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งเจ็ดต้องร่วมกันรับผิดชดใช้เงินที่เบิกไปเกินกว่าความเป็นจริงแก่โจทก์ โจทก์ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วมีคำสั่งไล่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกจากราชการกับให้ตัดเงินเดือนและหักค่าจ้างของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 คนละ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 3 เดือน ส่วนจำเลยที่ 1 เกษียณอายุราชการไปก่อน จากนั้นมีการดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้น คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 ปี 1 เดือน 10 วัน และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,496,323.83 บาท แก่โจทก์ คำฟ้องคดีนี้สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ชำระเงินที่เบิกจ่ายไปโดยทุจริตเกินกว่าความเป็นจริงในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทั้ง 9 โครงการข้างต้นเฉพาะจำนวน 4,496,323.83 บาท อันถือว่าเป็นต้นเงินเป็นฟ้องซ้ำกับคำขอส่วนแพ่งในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน 4,496,323.83 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2524 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่โจทก์กล่าวในฎีกาขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,912,961.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยโดยอ้างแต่เพียงว่าโจทก์ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้นต้น มิได้ดำเนินการขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเกี่ยวกับจำนวนเงินค่าเสียหายในคดีดังกล่าวเพราะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ไปก่อนแล้วนั้น ไม่ใช่การโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่วินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้นต้น มีผลผูกพันโจทก์ร่วมว่า จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ร่วมไปเป็นจำนวน 4,496,323.83 บาท ว่ามีเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไร คำฟ้องฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นอ้างในการยื่นฎีกา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อต่อไปว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโดยประมาทและปราศจากอำนาจเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่เงินงบประมาณขาดไปเป็นจำนวน 1,075,244.83 บาท หรือไม่ โจทก์ฟ้องว่า เงินงบประมาณดำเนินการก่อสร้างชลประทานขนาดเล็กเร่งด่วนทั้ง 9 โครงการที่เกิดเหตุ โจทก์ได้รับมารวมกันเป็นเงิน 17,083,000 บาท ในการเบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างจนเสร็จสิ้น มีใบสำคัญค่าพัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นเงิน 9,048,728.17 บาท และใบสำคัญค่าจ้างเหมาแรงงานเป็นเงิน 6,959,027 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นเพียง 16,007,755.17 บาท จะต้องมีเงินงบประมาณเหลือ 1,075,244.83 บาท แต่หลังเกิดเหตุคดีนี้กลับปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เบิกจ่ายงบประมาณไปหมดสิ้นแล้ว จึงเป็นเรื่องเงินขาดบัญชีต่างหาก นอกเหนือไปจากที่จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกเอาไปโดยทำใบสำคัญจัดซื้อตรวจรับและเบิกจ่ายพัสดุเป็นเท็จ จึงขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดเฉพาะส่วนนี้เป็นส่วนตัวในมูลละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อจึงเป็นข้อเท็จจริงคนละประเด็นต่างหากจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3038/2530 ของศาลชั้นต้น ศาลมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้โดยไม่จำต้องถือเอาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาเพราะไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา โจทก์มีพยานเบิกความสอดคล้องกันว่า เงินที่ขาดบัญชีไปไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานใบสำคัญจ่ายเงิน จึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงินส่วนที่ขาดบัญชีไปจริง ไม่ว่าจะจ่ายเป็นค่าเบ็ดเตล็ดเล็กน้อยเพียงใดอย่างใดต้องมีใบสำคัญการจ่ายเป็นหลักฐานและเก็บรักษาไว้เช่นเดียวกับใบสำคัญการจ่ายค่าจ้างเหมาและค่าวัสดุในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทั้ง 9 โครงการ จำเลยที่ 1 ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่า ไม่มีใบสำคัญจ่ายเงินเป็นหลักฐานในการสั่งจ่ายเงินขาดบัญชีไปตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบหลักฐานใบสำคัญจ่ายเงินก่อนจะอนุมัติสั่งจ่ายเงินไปเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการและประมาทเลินเล่อเป็นละเมิดต่อโจทก์ ต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2524 เท่าที่โจทก์ขอ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำละเมิดส่วนนี้ต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์ขอให้พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องตามฟ้องจำนวน 5,588,493.20 บาท แก่โจทก์ อันเป็นส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จะต้องชำระเพิ่มจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 อีกจำนวน 4,951,000.71 บาท และขอให้จำเลยที่ 1 ชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องอีก 1,227,792.47 บาท แก่โจทก์ จึงมีทุนทรัพย์ชั้นฎีกา 6,178,793.14 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาล 154,470 บาท ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เสียเกินมา 15,820 บาท แก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,075,244.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2524 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ (แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 147,846.16 บาท เท่าที่โจทก์ขอ) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมา 15,820 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share