คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1389-1393/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การร่วมกันก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้ของโจทก์ทั้งห้าสิบสอง จำเลยทั้งห้ากับราษฎรในท้องที่เป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญโดยไม่จดทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1012 มาตรา 1025 และมาตรา 1026 เมื่อโจทก์ทั้งห้าสิบสองอ้างว่าไม่ได้รับเงินฝากสะสมและเงินปันผลที่ครบกำหนดจ่ายและสมาชิกบางคนได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานปลอมเอกสาร ย่อมถือได้ว่าเป็นการประพฤติผิดสัญญาหุ้นส่วนในสาระสำคัญจนไม่อาจดำรงการเป็นหุ้นส่วนต่อไปได้ กับเป็นเหตุที่จะเลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1057 (1) มาตรา 1061 และมาตรา 1062 แต่การที่โจทก์ทั้งห้าสิบสองฟ้องเรียกเอาเงินฝากสะสมและเงินปันผล อันมีลักษณะเป็นการคืนทุนโดยยังมิได้มีการชำระบัญชีหรือข้อตกลงให้จัดการทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนด้วยวิธีอื่นระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย โจทก์ทั้งห้าสิบสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้จำเลยทั้งห้ามิได้ให้การต่อสู้และไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247

ย่อยาว

คดีห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งห้าสำนวนเรียงลำดับกันเป็นโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 52
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยทั้งห้าสำนวนร่วมกันก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้ โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 2 เป็นรองประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการ ดำเนินกิจการให้ประชาชนในท้องที่เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้จัดให้สมาชิกเข้าถือหุ้นโดยนำเงินมาฝากไว้กับจำเลยทั้งห้าเพื่อสะสมเป็นรายปี แล้วจำเลยทั้งห้านำเงินฝากดังกล่าวไปให้สมาชิกกู้ยืม เมื่อครบหนึ่งปีนับแต่วันฝากจำเลยทั้งห้าจะคืนเงินฝากสะสมพร้อมเงินปันผล โจทก์ทั้งห้าสิบสองสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้และนำเงินฝากสะสมไว้กับจำเลยทั้งห้ารวมเป็นเงิน 334,400 บาท ต่อมาเมื่อครบกำหนดการฝากเงินจำเลยทั้งห้าไม่คืนเงินฝากสะสมพร้อมเงินปันผลแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 384,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 334,400 นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสอง
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การทั้งห้าสำนวนทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ไม่ได้รับฝากเงินของโจทก์ทั้งห้าสิบสอง โจทก์ทั้งห้าสิบสองนำเงินมาลงทุนร่วมกับสมาชิกอื่นของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้รวมทั้งจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ด้วย แล้วนำเงินออกให้สมาชิกกู้ยืม โดยสมาชิกยินยอมให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแลจัดการเก็บรักษาเงินฝากสะสมและจัดสรรการให้กู้ยืมเงินแต่เพียงผู้เดียวจำเลยอื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การทั้งห้าสำนวนทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 เป็นเพียงนายทะเบียนของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้ไม่มีหน้าที่เก็บรักษาเงินหรือรับเงินจากสมาชิก สมาชิกเป็นผู้เลือกและแต่งตั้งกรรมการเป็นผู้ดำเนินการ คณะกรรมการเป็นตัวแทนของสมาชิก มิใช่ผู้รับฝากเงินจากสมาชิกอันจะต้องมีหน้าที่คืนเงินที่รับฝาก กรรมการอื่นดำเนินการตามปกติและนำเงินออกให้สมาชิกกู้ยืมจนหมด แล้วสมาชิกที่กู้ยืมไปไม่นำเงินส่งชำระหนี้คืน โดยจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งห้าสิบสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 6,540.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,500 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 6,540.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,500 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 1,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 4 จำนวน 32,300.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 32,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 5 จำนวน 4,226.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,200 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 6 จำนวน 1,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 7 จำนวน 11,471.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 11,400 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 8 จำนวน 1,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 9 จำนวน 5,232.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 5,200 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 10 จำนวน 14,590.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 14,500 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 11 จำนวน 5,232.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 5,200 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 12 จำนวน 6,138.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 13 จำนวน 3,723.13 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,700 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 14 จำนวน 3,723.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,700 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 15 จำนวน 6,440 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,400 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 16 จำนวน 4,326.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,300 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 17 จำนวน 3,119.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 18 จำนวน 1,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 19 จำนวน 1,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 20 จำนวน 2,113.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 21 จำนวน 3,220 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,200 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 22 จำนวน 3,220 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,200 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 23 จำนวน 4,125.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 24 จำนวน 4,125 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 25 จำนวน 11,169.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 11,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 26 จำนวน 13,383.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 13,300 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 27 จำนวน 12,678.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 12,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 28 จำนวน 6,339.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,300 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 29 จำนวน 8,653.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 30 จำนวน 2,113.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 31 จำนวน 2,113.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 32 จำนวน 11,169.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 11,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 33 จำนวน 4,226.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,200 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 34 จำนวน 4,125.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 35 จำนวน 4,125.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 36 จำนวน 5,333.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 5,300 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 37 จำนวน 4,226.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,200 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 38 จำนวน 7,546.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,500 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 39 จำนวน 3,622.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 40 จำนวน 8,150.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 41 จำนวน 5,131.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 5,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 42 จำนวน 1,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 43 จำนวน 3,119.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 3,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 44 จำนวน 4,729.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,700 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 45 จำนวน 4,326.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,300 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 46 จำนวน 6,037.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 47 จำนวน 4,326.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,300 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 48 จำนวน 1,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 49 จำนวน 1,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 50 จำนวน 15,596.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 15,500 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 51 จำนวน 18,213.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 18,100 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 52 จำนวน 18,213.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 18,100 บาท ทั้งนี้การคิดดอกเบี้ยให้นับแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสอง กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์ทั้งห้าสิบสองกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งห้าสิบสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ และทางนำสืบของคู่ความรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ทั้งห้าสิบสอง จำเลยทั้งห้า กับราษฎรในท้องที่หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 9 ตำบลจำป่าหวาย อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา รวมกันไม่น้อยกว่า 154 คน ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้ โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการจำเลยที่ 2 เป็นรองประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการ ดำเนินกิจการให้สมาชิกเข้าถือหุ้นโดยส่งเงินฝากสะสมเป็นรายปีและรายเดือน แล้วนำเงินดังกล่าวออกให้สมาชิกกู้ยืม โดยกำหนดให้สมาชิกผู้กู้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยภายในกำหนด 4 เดือน คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน เมื่อครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่สมาชิกฝากเงินสะสมแล้วจะได้รับเงินฝากสะสมคืนพร้อมเงินปันผลเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน โดยหักเงินปันผลที่จะได้รับไว้เป็นค่าใช้จ่ายของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้ในอัตราร้อยละ 7 ตามสมุดฝากสัจจะสะสมทรัพย์ และสำเนาสมุดฝากสัจจะสะสมทรัพย์ ศาลฎีกาเห็นว่า การรวมกลุ่มของโจทก์ทั้งห้าสิบสอง จำเลยทั้งห้า กับราษฎรในท้องที่หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 9 ดังกล่าว เป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญโดยไม่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 มาตรา 1025 และมาตรา 1026 เมื่อปราฏว่าโจทก์ทั้งห้าสิบสองและจำเลยทั้งห้าเกิดข้อขัดแย้งกัน โดยโจทก์ทั้งห้าสิบสองอ้างว่าไม่ได้รับเงินฝากสะสมและเงินปันผลที่ครบกำหนดจ่ายในวันที่ 2 ธันวาคม 2541 และสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์เพื่อกู้บางคนได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานปลอมเอกสาร ถือได้ว่าเป็นการประพฤติผิดสัญญาหุ้นส่วนในสาระสำคัญจนไม่อาจดำรงการเป็นหุ้นส่วนต่อไปได้ กับเป็นเหตุที่จะเลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1057 (1) มาตรา 1061 มาตรา 1062 การที่โจทก์ทั้งห้าสิบสองฟ้องเรียกเอาเงินฝากสะสมและเงินปันผล อันมีลักษณะเป็นการคืนทุนโดยยังมิได้มีการชำระบัญชีหรือข้อตกลงให้จัดการทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนด้วยวิธีอื่นระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว โจทก์ทั้งห้าสิบสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้จำเลยทั้งห้ามิได้ให้การต่อสู้และไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาข้อนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ทั้งห้าสำนวนนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลและเห็นควรยกฟ้องจำเลยที่ 2 ทั้งห้าสำนวนด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ทั้งห้าสำนวนด้วย แต่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ทั้งห้าสิบสองและจำเลยทั้งห้าจะว่ากล่าวกันต่อไปตามสิทธิของตนที่พึงมีโดยชอบด้วยกฎหมายหลังจากได้มีการชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนแล้ว ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งห้าสำนวน และทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share