แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสซึ่งผู้ร้องกับ ส. ร่วมกันซื้อมาระหว่างเป็นสามีภริยา ผู้ร้องกับ ส. จดทะเบียนหย่ากัน โดยผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทนั้นตลอดมาและได้ยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทในส่วนของ ส. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของ ส. ดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ ส. ในคดีอื่นไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทคดีนี้ จึงไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีเพื่อขอรับความรับรอง หรือคุ้มครองว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และผู้ร้องไม่สมควรได้สิทธิครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านจึงไม่อาจคัดค้านเข้ามาในคดีนี้ได้ อีกทั้งคำคัดค้านนั้นได้ยื่นเข้ามาภายหลังที่คดีถึงที่สุดไปแล้ว แม้ผู้คัดค้านอ้างว่าตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง แต่ผลของการคัดค้านโดยการร้องสอดตามมาตรา 57 (1) ผู้คัดค้านจะต้องเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง โดยผู้ร้องมีฐานะเป็นโจทก์ ส่วนผู้คัดค้านมีฐานะเป็นจำเลย ผู้คัดค้านจึงต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังได้กล่าวเพื่อจะได้ใช้สิทธินั้นคัดค้านว่าผู้ร้องมิได้ครอบครองปรปักษ์ เมื่อผู้คัดค้านมิได้อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งตามเงื่อนไขที่มาตรา 57 (1) บัญญัติ จึงชอบที่ผู้คัดค้านจะต้องดำเนินการตามสิทธิส่วนของตนในคดีอื่น มิใช่โดยการยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีนี้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 164196 เลขที่ดิน 5442 ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เฉพาะในส่วนของนายสิทธิ์ เนื้อที่ 25 ตารางวา ศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2555 ว่า ที่ดินส่วนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องสอด (ที่ถูก ต้องทำเป็นคำคัดค้าน) ขอให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องสอด (ที่ถูก คำคัดค้าน)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องสอด (ที่ถูก คำคัดค้าน) ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นและยกคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องใช้สิทธิโดยสุจริตและสมควรสั่งยกคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสซึ่งผู้ร้องกับนายสิทธิ์ร่วมกันซื้อมาระหว่างเป็นสามีภริยา ผู้ร้องกับนายสิทธิ์จดทะเบียนหย่ากัน โดยผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทนั้นตลอดมาและได้ยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทในส่วนของนายสิทธิ์จำนวนเนื้อที่ดิน 25 ตารางวา โดยมีการประกาศแจ้งให้นายสิทธิ์มาคัดค้านแล้วนายสิทธิ์ไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของนายสิทธิ์ คำนวณเนื้อที่ดิน 25 ตารางวาดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2555 ต่อมาวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 ผู้คัดค้านจึงยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีนี้อ้างเหตุว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนายสิทธิ์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ย.742/2545 ของศาลแพ่ง โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องไม่สุจริตเพราะผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ย.742/2545 ไว้แล้ว ต่อมาได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวแล้วมายื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทในส่วนของนายสิทธิ์ว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพราะได้ครอบครองปรปักษ์ การกระทำของผู้ร้องจึงไม่สุจริตต้องยกคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ของผู้ร้องเสียนั้น จะเห็นได้ว่า ประเด็นแห่งคดีนี้คือผู้ร้องมีสิทธิที่จะร้องขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทส่วนของนายสิทธิ์จำนวนเนื้อที่ 25 ตารางวา และสมควรได้สิทธิครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทดังกล่าวหรือไม่ เมื่อตามทางไต่สวนศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว โดยนายสิทธิ์มิได้ยื่นคำคัดค้านอีกทั้งมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงเป็นอันยุติ ถึงแม้คดีจะอยู่ระหว่างการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาการดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์จากนายสิทธิ์เจ้าของที่ดินร่วมเป็นชื่อผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวก็ตาม การที่ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีนี้และคำคัดค้านนั้นอาจจะแปลความหมายว่าเป็นการยื่นร้องสอด โดยอาศัยนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) มาเป็นเหตุผลก็ตาม แต่ทว่าความแห่งมาตรา 57 (1) นั้น “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด (1) ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น” เมื่อผู้คัดค้านซึ่งเป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนายสิทธิ์ในคดีอื่นไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทคดีนี้จึงไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีเพื่อขอรับความรับรอง หรือคุ้มครองว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนเนื้อที่ 25 ตารางวา และผู้ร้องไม่สมควรได้สิทธิครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านจึงไม่อาจคัดค้านเข้ามาในคดีนี้ได้ อีกทั้งคดีก็มิได้อยู่ระหว่างพิจารณาเพราะคำคัดค้านนั้นได้ยื่นเข้ามาภายหลังที่คดีถึงที่สุดไปแล้ว นอกจากนี้แม้คำคัดค้านอ้างว่าผู้คัดค้านสมัครใจเองว่าเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง แต่ผลของการคัดค้านโดยการร้องสอดตามมาตรา 57 (1) ผู้คัดค้านจะต้องเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง โดยผู้ร้องมีฐานะเป็นโจทก์ส่วนผู้คัดค้านมีฐานะเป็นจำเลย ฉะนั้นการใช้สิทธิในฐานะจำเลยก็ต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังได้กล่าวเพื่อจะได้ใช้สิทธินั้นคัดค้านว่าผู้ร้องมิได้ครอบครองปรปักษ์ เมื่อผู้คัดค้านมิได้อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งตามเงื่อนไขที่มาตรา 57 (1) บัญญัติ การที่กล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งก็ปรากฏว่าการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งคดีนี้มีแต่เฉพาะการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนชื่อจากนายสิทธิ์มาเป็นผู้ร้องเท่านั้น การที่สิทธิของผู้คัดค้านอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่น จึงชอบที่ผู้คัดค้านจะต้องดำเนินการตามสิทธิส่วนของตนในคดีอื่นนั้น หาใช่โดยการยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีนี้ ซึ่งเป็นคดีที่มิได้ออกหมายบังคับเพื่อบังคับตามสิทธิของผู้คัดค้านในฐานะเจ้าหนี้ของนายสิทธิ์แต่อย่างใด เมื่อไม่ได้ความว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ได้ทำไปแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นฎีกาข้ออื่น ๆ เพราะไม่เป็นสาระและไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง กรณีไม่มีเหตุที่จะสั่งยกคำร้องขอแสดงสิทธิของผู้ร้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ