คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13825/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542 และจำเลยได้รับเงินกู้ยืมไปครบถ้วนแล้ว จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์และไม่เคยได้รับเงินไปจากโจทก์ จำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเพื่อประกันการทำสัญญานายหน้าจัดส่งคนงานไปทำงานที่ไต้หวัน เท่ากับจำเลยให้การว่าสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องซึ่งเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองไม่สมบูรณ์ เพราะไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 650 จำเลยจึงไม่ต้องห้ามมิให้นำสืบพยานบุคคลว่าสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94
ที่จำเลยให้การและนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาจำนองดังกล่าวเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญานายหน้าส่งคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันและจำเลยได้ชำระหนี้หมดแล้วนั้น ก็เป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งมูลหนี้จำนอง หาใช่การนำสืบพยานบุคคลแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารอันจะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 ไม่ และการนำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญานายหน้าส่งคนไปทำงานที่ต่างประเทศก็มิใช่การนำสืบถึงการใช้เงินกู้ยืมที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 653 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 323,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 190,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 ตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์และไม่เคยรับเงินไปจากโจทก์ แต่จำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 ตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เพื่อประกันการทำสัญญานายหน้าจัดส่งคนงานไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันและจำเลยได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 323,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 190,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 2 ธันวาคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 ตำบลไพล (ประทัดบุ) อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542 โจทก์รับจำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 ตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่จำนวน 22 ไร่ 1 งาน 91 ตารางวา ของจำเลย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้จากโจทก์และยังไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ดังที่โจทก์ฎีกา หรือจำเลยทำสัญญาจำนองเป็นประกันค่านายหน้าในการที่โจทก์จัดส่งบุตรจำเลยทั้งสามคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันและได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษา โจทก์ฎีกาเป็นข้อแรกว่า หนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 1 ระบุว่า “ผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินทั้งแปลงแก่ผู้รับจำนองเพื่อประกันหนี้กู้ยืมเงินของตนที่ได้กู้ยืมเงินไปจากผู้รับจำนอง และคู่สัญญาตกลงให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินด้วย…” และในข้อ 3 ระบุว่า “ผู้จำนองได้รับเงินเป็นการเสร็จแล้ว” แต่จำเลยนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.1 เป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญานายหน้าส่งคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันและจำเลยได้ชำระหนี้หมดแล้ว เป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ต้องห้ามมิให้รับฟังพยานบุคคลนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 และจำเลยไม่อาจนำพยานบุคคลมาสืบว่าได้ชำระหนี้หมดแล้วได้ เพราะการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542 และจำเลยได้รับเงินกู้ยืมไปครบถ้วนแล้ว จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์และไม่เคยได้รับเงินไปจากโจทก์ เท่ากับจำเลยให้การว่าสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องซึ่งเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 จำเลยจึงไม่ต้องห้ามมิให้นำสืบพยานบุคคลว่าสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องไม่สมบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ดังที่โจทก์ฎีกา ส่วนที่จำเลยให้การและนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.1 เป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญานายหน้าส่งคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันและจำเลยได้ชำระหนี้หมดแล้วนั้น ก็เป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งมูลหนี้จำนอง หาใช่การนำสืบพยานบุคคลแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ไม่ และการนำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญานายหน้าส่งคนไปทำงานที่ต่างประเทศก็มิใช่การนำสืบการใช้เงินกู้ยืมที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 653 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่โจทก์ฎีกา
ที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 ในคำฟ้องตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้จากโจทก์และยังไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีหนังสือสัญญาจำนองที่ดินลงวันที่ 18 มีนาคม 2542 เอกสารหมาย จ.1 ระบุข้อความว่า จำเลยจำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 ตำบลประทัดบุ (ไพล) อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ยืมเงินจากโจทก์ โดยตกลงให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินและจำเลยผู้จำนองได้รับเงินเป็นการเสร็จแล้วกับมีนางสยุมพร เจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดสุรินทร์ สาขาปราสาท มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า เจ้าพนักงานที่ดินจะสอบสวนเกี่ยวกับที่มาของการที่คู่สัญญาจะมาทำนิติกรรม เช่น หากจะมาจำนองที่ดินเจ้าพนักงานก็จะสอบถามว่าจำนวนทุนทรัพย์เท่าใด ดอกเบี้ยเท่าใด มีสิ่งปลูกสร้างภายในที่ดินนั้นหรือไม่ และมีการรับเงินกันแล้วหรือไม่ หากยังไม่มีการรับเงินกันเจ้าพนักงานที่ดินก็จะไม่ทำการจดทะเบียนให้ก็ตาม แต่โจทก์เบิกความตอบทนายโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542 จำเลยมาขอกู้เงินจากโจทก์จำนวน 190,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจะชำระหนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี โดยจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปครบถ้วนแล้วตั้งแต่วันทำสัญญา และโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์ส่งมอบเงินให้แก่จำเลยที่บ้านของนางเล็ก มารดาโจทก์ โดยนางเล็กรู้เห็นด้วย โจทก์จ่ายเงินให้แก่จำเลยเป็นเงินสดโดยโจทก์เบิกเงินมาจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาปราสาท แสดงว่าโจทก์มิได้ส่งมอบเงินสดจำนวน 190,000 บาท ให้แก่จำเลยที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสุรินทร์ สาขาปราสาท ดังที่ปรากฏในหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งหากโจทก์เบิกเงินจำนวน 190,000 บาท มาจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาปราสาท ในวันนั้นจริง เมื่อยังไม่มีการทำหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือให้จำเลยลง
ลายมือชื่อเป็นผู้กู้ไว้และโจทก์ประสงค์ที่จะใช้หนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 เป็นหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือดังที่ระบุในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ดังกล่าว ก็ควรอย่างยิ่งที่โจทก์ต้องไม่มอบเงินสดจำนวน 190,000 บาท แก่จำเลยไปก่อนทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ต้องมอบเงินจำนวนนั้นให้จำเลยที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสุรินทร์ สาขาปราสาท ขณะทำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 แต่โจทก์กลับหาได้ทำเช่นนั้นไม่ ปัญหาว่าโจทก์ส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่บ้านของนางเล็กมารดาโจทก์ดังที่โจทก์เบิกความจริงหรือไม่ โจทก์ก็มิได้นำนางเล็กมาเบิกความสนับสนุน ทั้งปรากฏว่าที่โจทก์เบิกความดังกล่าวก็ขัดแย้งกับที่นายสังวาลย์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ในการจดทะเบียนจำนองตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 เบิกความว่า นายสังวาลย์เห็นจำเลยรับเงินที่บ้านของโจทก์โดยมีนางเล็กมารดาโจทก์อยู่ด้วย ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการส่งมอบเงินที่กู้ยืมเป็นสาระสำคัญของสัญญากู้ยืมเงิน เพราะสัญญากู้ยืมเงินจะสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบเงินที่ยืม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 สถานที่ส่งมอบเงินที่กู้ยืมเงินจึงเป็นสาระสำคัญของการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่ามีการส่งมอบเงินที่ยืมให้ผู้กู้หรือไม่ เมื่อคำเบิกความของโจทก์และนายสังวาลย์ขัดแย้งกันในสาระสำคัญว่ามีการส่งมอบเงินที่ยืมจำนวน 190,000 บาท ให้แก่จำเลยที่บ้านของนางเล็กมารดาโจทก์หรือที่บ้านของโจทก์ ทั้งโจทก์ไม่ได้นำนางเล็ก มาเบิกความสนับสนุนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างใดแน่ และจำเลยนำสืบปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์และไม่เคยได้รับเงินจากโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักและเหตุผลพอให้เชื่อว่าจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้จำนวน 190,000 บาท จากโจทก์โดยจำเลยได้รับเงินกู้จำนวนดังกล่าวแล้ว ส่วนจำเลยมีจำเลย นายสำราญ เจริญรัมย์ สามีจำเลยนางสาวขวัญชนก บุตรจำเลย นายวิทยา บุตรจำเลย นายทวด และนางจงดี ซึ่งเคยขอให้โจทก์นำบุตรนายทวดและบุตรนางจงดีไปทำงานในต่างประเทศมาเบิกความเป็นพยานจำเลยได้ความว่า จำเลยเคยไปติดต่อโจทก์เพื่อขอส่งบุตรจำเลยจำนวน 3 คน ได้แก่ นายวัชรินทร์ นายวิทยา และนางสาวขวัญชนก ไปทำงานในต่างประเทศที่ดินแดนไต้หวัน โดยมีบริษัทธาดาอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่เลขที่ 354/14 หมู่ที่ 7 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โทรศัพท์หมายเลข 538246 เป็นผู้ดำเนินการจัดส่งคนงานเพื่อเดินทางไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันหรือสอบถามที่พี่เล็ก (หมายถึงนางเล็ก มารดาโจทก์) บ้านเลขที่ 47/1 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โทรศัพท์หมายเลข 551137 และ 532369 โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01-4709429 และ 01-4709430 จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ แต่หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้เป็นค่านายหน้าที่โจทก์ดำเนินการส่งบุตรจำเลยทั้งสามคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวัน โจทก์ไม่ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลย โจทก์ส่งบุตรจำเลยทั้งสามคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันโดยเป็นผู้ทำสัญญาประกันชีวิตให้แก่บุตรจำเลยทั้งสามคนตามสัญญาจ้างแรงงานลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2541 ที่บริษัทเชียงเย็นเท็กซ์ไทล จำกัด ที่ดินแดนไต้หวันว่าจ้างนางสาวขวัญชนกบุตรจำเลยมีกำหนด 2 ปี สัญญาจัดหางานเพื่อให้คนหางานไปทำงานในต่างประเทศตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2542 ที่บริษัทจัดหางานกรุงเทพสุ้นฮวดเทรดดิ้ง จำกัด ทำกับนางสาวขวัญชนกบุตรจำเลยซึ่งเป็นคนหางาน ใบคำขอเอาประกันชีวิตประเภทสามัญชนิดทั่วไปลงวันที่ 18 มีนาคม 2542 ที่โจทก์เป็นตัวแทนเอาประกันชีวิตให้แก่นายวิทยาบุตรจำเลยในการเดินทางไปทำงานที่ดินแดนไต้หวัน ตามกรมธรรม์เลขที่ 240599 กรมธรรม์เลขที่ 0240599 ใบคำขอเอาประกันชีวิตประเภทสามัญชนิดทั่วไปลงวันที่ 21 กันยายน 2542 ที่โจทก์เป็นตัวแทนเอาประกันชีวิตให้แก่นายวัชรินทร์บุตรจำเลยในการเดินทางไปทำงานที่ไต้หวันตามกรมธรรม์เลขที่ 259179 กรมธรรม์เลขที่ 0259179 สัญญาจัดหางานเพื่อให้คนหางานไปทำงานในต่างประเทศตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2542 ที่บริษัทธาดาอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ทำกับนายวัชรินทร์บุตรจำเลยซึ่งเป็นคนหางาน โดยโจทก์คิดค่านายหน้าเป็นเงินจำนวนคนละ 165,000 บาท จำเลยได้นำที่ดินไปจำนองไว้แก่โจทก์เป็นประกันการชำระหนี้ค่านายหน้าดังกล่าวรวมจำนวน 7 แปลง โดยเป็นที่ดินของจำเลย 1 แปลง ส่วนที่ดินแปลงที่เหลือเป็นของบุคคลอื่นตามสำเนาหนังสือสัญญาจำนองและโฉนดที่ดิน หลังจากบุตรจำเลยทั้งสามคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันแล้ว บุตรจำเลยทั้งสามคนได้ส่งเงินที่ทำงานได้มาให้นายสำราญ สามีจำเลย นายสำราญและจำเลยได้นำเงินไปชำระให้แก่โจทก์โดยโจทก์หรือบุคคลอื่นจะลงบันทึกการรับเงินไว้ จำเลยชำระค่านายหน้าให้แก่โจทก์ในส่วนของนายวัชรินทร์และนายวิทยาครบถ้วนแล้ว ในส่วนของนางสาวขวัญชนกจำเลยได้ชำระตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2542 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2544 จำนวน 265,218 บาท การชำระเงินแก่โจทก์นายสำราญเป็นผู้นำไปชำระให้แก่โจทก์เป็นรายเดือน ตามสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ธนาคารกรุงเทพ สาขาปราสาท 462 เลขที่ 462 0362840 จากพยานหลักฐานของจำเลยดังกล่าวจำเลยนำสืบข้อเท็จจริงได้อย่างมีน้ำหนักและเหตุผลเชื่อมโยงสอดคล้องกันกล่าวคือ ใบปลิวโฆษณาการจัดส่งคนงานไปทำงานที่ดินแดนไต้หวัน ระบุไว้ชัดเจนให้ผู้สนใจไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันติดต่อสอบถามรายละเอียดได้จากบริษัทธาดาอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือที่นางเล็กมารดาโจทก์ สัญญาจ้างแรงงานที่บริษัทเชียงเย็นเท็กซ์ไทล จำกัด ที่ดินแดนไต้หวันว่าจ้างนางสาวขวัญชนกบุตรจำเลยมีกำหนด 2 ปี และสัญญาจัดหางานเพื่อให้คนหางานไปทำงานในต่างประเทศที่บริษัทจัดหางานกรุงเทพสุ้นฮวดเทรดดิ้ง จำกัด ทำกับนางสาวขวัญชนกบุตรจำเลยซึ่งเป็นคนหางาน ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2541 และวันที่ 22 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นช่วงวันเวลาที่ใกล้เคียงกับช่วงวันเวลาที่จำเลยทำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินลงวันที่ 18 มีนาคม 2542 ใบคำขอเอาประกันชีวิตลงวันที่ 18 มีนาคม 2542 และวันที่ 21 กันยายน 2542 ซึ่งโจทก์เป็นตัวแทนเอาประกันชีวิตให้แก่นายวิทยาและนายวัชรินทร์บุตรจำเลย ตามลำดับนั้น ระบุไว้ชัดเจนในลักษณะธุรกิจของนายวิทยาและนายวัชรินทร์ว่า “เดินทางไปทำงานที่ไต้หวัน” พยานหลักฐานของจำเลยดังกล่าวจึงมีน้ำหนักและเหตุผลให้เชื่อว่าโจทก์เป็นผู้ดำเนินการจัดส่งบุตรจำเลยทั้งสามคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันโดยคิดค่านายหน้าเป็นเงินจำนวนคนละ 165,000 บาท และเมื่อพิจารณาประกอบกับบัญชีสรุปยอดรายการที่จำเลยชำระเงินค่านายหน้าแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2544 จำนวน 22 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 265,218 บาท และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาปราสาท 462 ของนายสำราญสามีจำเลย ที่นายสำราญนำเงินที่ได้รับจากบุตรจำเลยทั้งสามคนเนื่องจากการทำงานที่ดินแดนไต้หวันเข้าฝากและถอนหลายรายการไปชำระให้แก่โจทก์แล้ว เชื่อว่าจำเลยได้ชำระหนี้ค่านายหน้าในการที่โจทก์จัดส่งบุตรจำเลยทั้งสามคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันแก่โจทก์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10460 ตำบลไพล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเพื่อประกันการชำระหนี้ในการที่โจทก์จัดส่งบุตรจำเลยทั้งสามคนไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันและจำเลยได้ชำระหนี้ดังกล่าวแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท

Share