แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยปักใจเชื่อว่าผู้เสียหายฆ่าหลายชายจำเลย จึงวางแผนฆ่าผู้เสียหาย โดยให้น้องชายไปแจ้งตำรวจให้จับผู้เสียหายที่บ้านผู้มีชื่อและจำเลยไปรออยู่ใกล้บ้านนั้น เมื่อตำรวจมาถึงจำเลยรับอาสานำตำรวจไปจับผู้เสียหาย แล้วจำเลยเดินลุยน้ำไปยิงผู้เสียหายทันทีขณะผู้เสียหายนั่งอยู่บนบ้านนั้น กระสุนปืนถูกขาผู้เสียหาย จำเลยยิงแล้วหลบหนีไป เมื่อตำรวจจับได้ก็แก้ตัวว่ายิงเพื่อป้องกันตำรวจเช่นนี้จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยให้การปฏิเสธในข้อหาพยายามฆ่า แต่รับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) และตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ซึ่งเป็นกระทงหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุก 3 ปี คำให้การชั้นสอบสวน ชั้นจับกุมจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 80 ให้วางโทษจำคุกจำเลยตามมาตรานี้ซึ่งเป็นกระทงหนักประกอบด้วยมาตรา 52 ลงโทษจำคุก 16 ปี คำให้การชั้นสอบสวนชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง สมควรลดโทษให้ตามมาตรา 78 อีก 1 ใน 3 เหลือจำคุกจำเลย 10 ปี8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยปักใจเชื่อว่าผู้เสียหายเป็นผู้ฆ่าหลานชายจำเลยจึงให้น้องชายจำเลยไปแจ้งต่อร้อยตำรวจโทศิลปชัยให้จับกุมผู้เสียหาย ร้อยตำรวจโทศิลปชัยเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานจึงไม่ยอมไปจับ แต่น้องชายจำเลยว่าผู้เสียหายกำลังสูบเฮโรอีนอยู่ที่บ้านนางเล็กขอให้ไปจับ ร้อยตำรวจโทศิลปชัยจึงให้ตำรวจหลายนายไปจับผู้เสียหายในข้อหาสูบเฮโรอีนเมื่อตำรวจไปถึงหัวสะพานเข้าบ้านนางเล็ก ก็พบจำเลยรออยู่ที่นั่น จำเลยรับอาสานำตำรวจไปจับผู้เสียหายแล้วจำเลยลงจากสะพานเดินลุยน้ำตรงไปบ้านนางเล็ก ขณะนั้นผู้เสียหายอยู่คนเดียวนั่งอยู่บนบ้านนางเล็กตรงหัวบันได พอจำเลยเดินไปถึงตีนบันไดห่างผู้เสียหาย 1 วา จำเลยพูดว่า “อ้ายทอง มึงอย่าหนี” แล้วจำเลยควักปืนสั้นออกมายิงผู้เสียหาย 1 นัด ถูกที่ขาซ้ายตรงขาพับทะลุแข้งด้านนอกเมื่อยิงแล้วจำเลยหลบหนีไป เมื่อจับจำเลยได้ จำเลยแก้ตัวว่าผู้เสียหายจะทำร้ายตำรวจ จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้เสียหายเพื่อป้องกันตำรวจ จึงวินิจฉัยว่าตามพฤติการณ์ดังกล่าวมองเห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการณ์ของจำเลยทั้งสิ้นโดยจำเลยประสงค์จะอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเกราะกำบังความผิดของจำเลยให้เห็นว่า จำเลยยิงผู้เสียหายเพราะผู้เสียหายจะทำร้ายตำรวจ เมื่อจำเลยมีแผนการณ์ไว้ดังนี้การที่จำเลยใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหาย จึงมิใช่เจตนาเพียงให้ผู้เสียหายบาดเจ็บเท่านั้น แม้จำเลยจะยิงผู้เสียหายเพียงถูกตรงขา แต่ผู้เสียหายกำลังนั่งอยู่นับว่าใกล้เคียงกับจุดอันตรายอยู่ไม่น้อยหากวิถีกระสุนจะสูงขึ้นอีกเล็กน้อย จึงเป็นเรื่องรีบร้อนและไม่แม่นยำของจำเลยมากกว่า ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาวางบทกำหนดโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน