คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13798/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในปัญหาข้อเท็จจริง คงรับเฉพาะฎีกาในข้อกฎหมาย แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้แจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิด และขอให้รอการลงโทษ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษของศาลอุทธรณ์อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และเมื่อฎีกาของจำเลยที่ 1 ต้องห้ามดังกล่าว จึงไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะสั่งให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อแจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ทราบ
ยาแผนปัจจุบันและยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นยาตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ส่วนไดอาซีแพมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 การมียาและวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้เพื่อขายจึงเป็นความผิดตามกฎหมายคนละฉบับ แสดงว่ากฎหมายแต่ละฉบับมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้กระทำความผิดแยกต่างหากจากกัน การที่จำเลยมียาแผนปัจจุบันและยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้เพื่อขายกับมีไดอาซีแพมวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้เพื่อขายในคราวเดียวกันจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษทั้งสองตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 16, 36, 62, 90, 101, 106, 116 พระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 4, 12, 72, 101, 122, 126 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 80, 83, 91 ริบยาแผนปัจจุบันวัตถุออกฤทธิ์ และกล่องพัสดุของกลาง บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1625/2547 ของศาลจังหวัดพัทยา เข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 90, 106 วรรคสอง พระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 12 (ที่ถูก มาตรา 12 วรรคหนึ่ง), 72 (ที่ถูก มาตรา 72(4)), 101, 122 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 90, 91 ฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้ในครอบครองกับฐานพยายามส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปี ฐานมียาแผนปัจจุบันประเภทยาควบคุมพิเศษและประเภทยาอันตรายไว้เพื่อขายกับฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้เพื่อขายเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้เพื่อขายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1625/2547 ของศาลจังหวัดพัทยา (ที่ถูก ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง) เข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน ริบของกลาง ส่วนข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานมียาแผนปัจจุบันไว้เพื่อขายและฐานมียาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้เพื่อขายเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานมียาแผนปัจจุบันไว้เพื่อขาย อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้เพื่อขาย จำคุก 1 ปี ฐานพยายามส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมียาแผนปัจจุบันไว้เพื่อขาย จำคุก 4 เดือน ฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้เพื่อขาย จำคุก 8 เดือน ฐานพยายามส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ จำคุก 16 เดือน รวมจำคุก 28 เดือน เมื่อบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 34 เดือน ให้ริบยาแผนปัจจุบันซึ่งมิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2553 ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2553 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในปัญหาข้อเท็จจริงและสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งจำเลยที่ 1 อาจฎีกาเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 แต่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ทราบ ซึ่งเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและยังคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานพยายามส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 และฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 กับขอให้รอการลงโทษ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษของศาลอุทธรณ์อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และเมื่อฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามที่วินิจฉัยมาแล้ว จึงไม่เป็นการจำเป็นที่ศาลฎีกาจะสั่งให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อแจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ทราบแต่อย่างใด
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า การที่จำเลยที่ 1 มียาแผนปัจจุบันไว้เพื่อขาย ยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้เพื่อขายและไดอาซีแพมวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 จำนวน 200 เม็ด ไว้เพื่อขาย ในคราวเดียวกันเป็นการกระทำความผิดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เห็นว่า ยาแผนปัจจุบันและยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นยาตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 ส่วนไดอาซีแพมเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 การมียาและวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้เพื่อขาย จึงเป็นความผิดตามกฎหมายคนละฉบับ อันเป็นการแสดงว่ากฎหมายแต่ละฉบับต่างมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาและวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวแยกต่างหากจากกัน ดังนั้น การที่จำเลยมียาแผนปัจจุบันและยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้เพื่อขาย กับมีไดอาซีแพมวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 จำนวน 200 เม็ด ไว้เพื่อขายในคราวเดียวกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share