แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเคยถูกปล้นบ้านมาก่อน และเมื่อ 20 วันก่อนเกิดเหตุก็มีคนร้ายเข้าบ้านจำเลย คืนเกิดเหตุสามีจำเลยไม่อยู่ จำเลยปิดประตูบ้านซึ่งเป็นร้านค้าเข้านอนอยู่กับเด็ก ๆ เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงดังกุกกักที่ระเบียงเรือน จึงหยิบปืนเปิดประตูแง้มออกดูเห็นเงาคนตะคุ่ม ๆ อยู่บนระเบียงเรือนคนหนึ่ง และข้างล่างระเบียงเรือนอีกคนหนึ่ง จำเลยถามว่า “ใคร” ได้ยินเสียงตอบว่า “อย่าดัง” จำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จึงยิงปืนไปยังคนที่อยู่ระเบียง 2 นัด คนทั้งสองหนีไปจำเลยยิงขู่อีก 1 นัด แล้วตะโกนว่า “ช่วยด้วย โจรขึ้นบ้าน” มีชาวบ้านมาและพบผู้ตายนอนตายเพราะถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงอยู่ที่ข้างคูน้ำบริเวณบ้านจำเลย ดังนี้ เป็นกรณีซึ่งมีเหตุทำให้จำเลยเชื่อได้ว่าผู้ตายมีเจตนาจะเข้ามาลักทรัพย์จำเลย เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจึงใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันสิทธิในทรัพย์สินของตนพอสมควรแก่เหตุ ถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ มีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกับจำเลยอีก ๓ คน ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายสุวรรณหรือดนเลาะห์มัสและห์ ถึงแก่ความตาย โดยจำเลยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙, ๙๐, ๙๑, ๘๓
จำเลยทั้งห้าคนให้การปฏิเสธ ส่วนข้อหามีอาวุธปืน จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ
นายรอไม มัสและห์ บิดาของผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยอีก ๓ คน
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า คืนเกิดเหตุ สามีจำเลยที่ ๑ ไม่อยู่บ้านเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา ขณะที่จำเลยที่ ๑ นอนอยู่กับเด็ก ๆ ที่ห้องนอนบนเรือนซึ่งทำเป็นร้านค้าด้วยได้ยินเสียงดังกุกกักที่ระเบียงเรือน จึงหยิบปืนเปิดประตูเรือนแง้มออกดู เห็นเงาคนตะคุ่ม ๆ อยู่บนระเบียงเรือนคนหนึ่งและที่ข้างล่างริมระเบียงเรือนอีกคนหนึ่ง จำเลยที่ ๑ ถามว่าใคร ได้ยินเสียงตอบว่า “อย่าดัง” จำเลยที่ ๑ เข้าใจว่าเป็นคนร้ายแน่จึงยิงปืนไปยังคนที่อยู่บนระเบียง ๒ นัด คนทั้งสองหนีไป จำเลยที่ ๑ ยิงขู่อีก ๑ นัด แล้วตะโกนว่า”ช่วยด้วย โจรขึ้นบ้าน” มีชาวบ้านมาและพบผู้ตายนอนตายเพราะถูกกระสุนปืนที่จำเลยที่ ๑ ยิง อยู่ที่ข้างคูน้ำบริเวณบ้านของจำเลยที่ ๑ ดังนี้เห็นว่าผู้ตายได้บุกรุกขึ้นไปบนเรือนของจำเลยที่ ๑ ในเวลาค่อนข้างดึกจำเลยที่ ๑ ปิดประตูร้านค้าเข้านอนแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้ยินเสียงดังกุกกักและร้องถาม ผู้ตายกลับตอบห้ามไม่ให้ร้องมีเหตุทำให้จำเลยที่ ๑ เชื่อได้ว่าผู้ตายมีเจตนาจะเข้ามาลักทรัพย์ เพราะจำเลยที่ ๑ เคยถูกปล้นมาก่อน และเมื่อ ๒๐ วันก่อนเกิดเหตุก็มีคนร้ายเข้าบ้านจำเลย คืนเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ นอนอยู่กับเด็ก ๆ สามีไม่อยู่บ้าน เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยที่ ๑ สำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายบุกรุกขึ้นไปบนเรือนเพื่อจะลักทรัพย์จึงใช้ปืนยิงเป็นการป้องกันสิทธิในทรัพย์สินของตนพอสมควรแก่เหตุ ถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๖๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๒ ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน