คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นน้องเขยผู้ตาย คืนก่อนเกิดเหตุผู้ตายและจำเลยต่างไปงานแต่งงานรายเดียวกันจำเลยช่วยเป็นผู้ลงบัญชีผู้ออกเงินช่วยงานและได้เกิดเป็นปากเสียงกับผู้ตายโดยผู้ตายหาว่าได้ออกเงินช่วยในงานแล้วจำเลยไม่ลงชื่อในบัญชีให้คืนนั้นผู้ตายอยู่บ้านงานตลอดคืน ดื่มสุราเมา รุ่งเช้าเดินกลับบ้าน มาสวนทางกับจำเลยซึ่งเดินอยู่คนละฝั่งคันคู เนื่องจากผู้ตายมีนิสัยเมาแล้วมักอาละวาดเมื่อพบจำเลยซึ่งผู้ตายข้องใจเรื่องไม่ลงชื่อในบัญชีคนช่วยงานให้จึงต่อว่าและชักมีดโดดข้ามคูไปแทงทำร้ายจำเลย จำเลยจึงยิงผู้ตาย 1 นัดเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายเทียม มาศิริ ถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288

จำเลยให้การว่า จำเลยถูกข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรง จึงบันดาลโทสะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัดเพื่อป้องกันตัว

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกับผู้ตายสมัครใจเข้าต่อสู้กัน ไม่เป็นการป้องกันตัว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุก 15 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีไม่ได้เกิดจากการสมัครใจเข้าต่อสู้กัน และการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จึงไม่มีความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความว่าจำเลยเป็นน้องเขตผู้ตาย คือวันที่ 15กุมภาพันธ์ 2518 ผู้ตายและจำเลยต่างไปงานแต่งงานลูกสาวนายแพ จำเลยช่วยเป็นผู้ลงบัญชีผู้ออกเงินช่วยงาน และได้เกิดเป็นปากเสียงกับผู้ตายโดยผู้ตายหาว่าได้ออกเงินช่วยในงานแล้วจำเลยไม่ลงชื่อในบัญชีให้ คืนนั้นผู้ตายอยู่บ้านงานตลอดคืนจนเช้าจึงเดินกลับบ้าน มาสวนทางกับจำเลยซึ่งเดินอยู่คนละฝั่งคันคูได้เกิดโต้เถียงกันเรื่องลงบัญชีเงินช่วยอีกผู้ตายข้ามคูไปฝั่งจำเลยจึงเกิดเหตุยิงกันขึ้น พยานโจทก์ว่ามองไปทางที่เกิดเหตุเพราะได้ยินเสียงเถียงกันเรื่องอะไรไม่รู้เห็นผู้ตายโดดข้ามฝั่งไปทางจำเลย ปืนก็ดังขึ้น 1 นัด ผู้ตายเซไป จำเลยจูงจักรยานเดินหนีไป พยานจำเลยว่า ผู้ตายต่อว่าจำเลยเรื่องไม่ลงบัญชีเงินช่วยงานให้ผู้ตายเกิดโต้เถียงกัน ผู้ตายชักมีดออกมาถือร้องว่า กูจะเอามึงแน่ แล้วโดดข้ามฝั่งคูมาแทงจำเลย 2 ครั้ง จำเลยเอารถจักรยานที่จูงอยู่กันไว้ ผู้ตายผลักรถจักรยานและตัวจำเลยล้มแล้วโดยเข้าแทงซ้ำ จำเลยจึงยิงผู้ตาย 1 นัด และมีพยานจำเลยว่า เห็นผู้ตายมีอากรเมาสุรา เหน็บมีดพกใส่ฝักไว้ที่ขอบกางเกงและว่านิสัยผู้ตายเมื่อเมาสุราแล้วมักอาละวาด รูปคดีจึงน่าเชื่อว่าผู้ตายซึ่งอยู่บ้านงานตลอดคืนคงจะดื่มสุราจนเมามาย พอสว่างจึงเดินกลับบ้านและคงยังเมาสุราอยู่ และเนื่องจากผู้ตายมีนิสัยเมาแล้วมักอาละวาด เมื่อพบจำเลยซึ่งผู้ตายข้องใจเรื่องไม่ลงชื่อในบัญชีคนช่วยงานให้ จึงต่อว่าและชักมีดโดดข้ามคูไปแทงทำร้ายจำเลยก่อนจริง การที่จำเลยยิงผู้ตายจึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share