แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยต่างยื่นคำร้องต่ออำเภอเพื่อขอเช่าที่พิพาทตามคำร้องของจำเลยระบุว่าจำเลยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านเลขที่ 229 หมู่ที่ 5 ตำบลบัวชุมอำเภอไชยบาดาล จังหวัดลพบุรีโดยเช่าห้องของนายเฉื่อย คำทองแท้ และ จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาก่อน พ.ศ. 2499 ซึ่งความจริงจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลสระกรวด อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ นายอำเภออนุมัติให้จำเลยเช่าที่พิพาท แต่การที่นายอำเภอจะพิจารณาให้ผู้ใดเช่าที่ดินโครงการผังเมืองลำนารายณ์ซึ่งรวมถึงที่พิพาทรายนี้ด้วยนั้นนายอำเภอเป็นผู้มีอำนาจให้ผู้หนึ่งผู้ใดเช่าได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าผู้ขอเช่าจะมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด ดังนั้น การที่จำเลยได้รับอนุมัติให้เป็นผู้เช่าและโจทก์ไม่ได้รับอนุมัติให้เช่านั้นจึงไม่ได้เป็นผลมาจากการที่จำเลยระบุในคำร้องว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด ความเสียหายของโจทก์มิได้สืบเนื่องมาจากข้อความอันเป็นเท็จนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายอำเภอไชยบาดาล จังหวัดลพบุรี อันเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายโดยทำคำร้องยื่นต่อนายอำเภอไชยบาดาลว่า จำเลยตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านเลขที่ 229 หมู่ที่ 5 ตำบลบัวชุม อำเภอไชยบาดาล จังหวัดลพบุรีขอทำสัญญาเช่าที่ดินของทางราชการซึ่งอยู่ในเขตโครงการผังเมืองลำนารายณ์ ถนนสุรนารายณ์ เป็นจำนวนเนื้อที่ 27 ตารางวาซึ่งเป็นที่ดินที่จำเลยได้ครอบครองมาก่อน พ.ศ. 2499 เพื่อจะปลูกสร้างอาคารร้านค้าและเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งความจริงนั้นจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลสระกรวด อำเภอวิเชียร จังหวัดเพชรบูรณ์จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 229 หมู่ที่ 5 ตำบลบัวชุมอำเภอไชยบาดาล จังหวัดลพบุรี และจำเลยไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินที่จำเลยขอเช่าเลย
ที่ดินที่จำเลยขอเช่านี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเช่าต่อนายอำเภอไชยบาดาลไว้แล้ว ต่อมาจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายอำเภอไชยบาดาลและคณะกรรมการ อันเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอีกว่า ขณะนี้ตนได้เช่าห้องแถวของนายเฉื่อย คาทองแท้ ซึ่งอยู่ริมถนนทางเข้าที่อำเภอไชยบาดาล ซึ่งเป็นข้อความเท็จ เพราะความจริงจำเลยไม่ได้เช่าห้องของนายเฉื่อย คำทองแท้ อยู่อาศัยเลย เจ้าพนักงานหลงเชื่อตามคำเท็จของจำเลย จึงอนุมัติให้จำเลยเช่าที่ดินซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเช่าไว้ก่อน โจทก์จึงหมดหนทางเช่าได้ กระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อทางราชการระบุว่าจำเลยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านเลขที่ 229 หมู่ที่ 5ตำบลบัวชุม อำเภอไชยบาดาล จังหวัดลพบุรี และได้ครอบครองที่พิพาทมาก่อน พ.ศ. 2499 เป็นการแจ้งความเท็จ แต่การที่จำเลยได้รับอนุมัติให้เช่าที่พิพาทได้นั้น หาได้เนื่องมาจากข้อความที่จำเลยยื่นคำร้องเท็จไม่การพิจารณาให้ผู้ใดเช่าที่ดินโครงการผังเมืองลำนารายณ์ อำเภอไชยบาดาล นั้น ไม่ต้องคำนึงว่าผู้เช่าจะมีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน เพราะวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการให้เช่ามีอยู่ว่า ผู้ที่จะเช่าสมควรจะมีสิทธิครอบครองหรือไม่เพราะโครงการนี้มุ่งจะให้กรรมสิทธิ์แก่ผู้ครอบครองในเวลาต่อไป การที่จำเลยได้รับอนุมัติให้เช่าที่พิพาทได้นั้น หาได้เนื่องมาจากข้อความที่จำเลยยื่นคำร้องเท็จไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าการยื่นคำร้องเท็จของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีโจทก์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219โจทก์คงฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้ว จากพยานหลักฐานในสำนวน
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์และจำเลยต่างยื่นคำร้องต่ออำเภอเพื่อขอเช่าที่พิพาทนี้ตามคำร้องของจำเลยระบุว่า จำเลยตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านเลขที่ 229 หมู่ที่ 5 ตำบลบัวชุม อำเภอไชยบาดาล จังหวัดลพบุรี โดยเช่าห้องนายเฉื่อย คำทองแท้ และจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาก่อน พ.ศ. 2499 ซึ่งความจริงจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลสระกรวด อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ นายอำเภออนุมัติให้จำเลยได้เช่าที่พิพาท แต่การที่นายอำเภอจะพิจารณาให้ผู้ใดเช่าที่ดินโครงการผังเมืองลำนารายณ์ ซึ่งรวมถึงที่พิพาทรายนี้ด้วยนั้น นายอำเภอเป็นผู้มีอำนาจให้ผู้หนึ่งผู้ใดเช่าได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าผู้ขอเช่าจะมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าผู้ขอเช่านั้นสมควรจะมีสิทธิครอบครองที่ดินที่ขอเช่าหรือไม่ เพราะโครงการผังเมืองลำนารายณ์นี้มุ่งจะให้กรรมสิทธิ์แก่ผู้ที่ครอบครองในเวลาต่อไป
ข้อความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยแจ้งความเท็จ คือ ตอนที่จำเลยระบุว่าจำเลยเช่าห้องของนายเฉื่อย คำทองแท้ อยู่อาศัย ทำให้เจ้าพนักงานหลงเชื่อและอนุมัติให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาททำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะเช่าที่พิพาทไม่ได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวแล้วข้างต้น แสดงว่าการที่นายอำเภออนุมัติให้จำเลยได้เช่าที่พิพาทรายนี้ นายอำเภอไม่ต้องคำนึงถึงภูมิลำเนาของจำเลยเลยดังนั้น การที่จำเลยได้รับอนุมัติให้เป็นผู้เช่าและโจทก์ไม่ได้รับอนุมัติให้เช่านั้น จึงไม่ได้เป็นผลมาจากการที่จำเลยระบุในคำร้องว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด แม้เรื่องภูมิลำเนาที่จำเลยระบุไว้นั้นจะเป็นความเท็จ แต่ความเสียหายของโจทก์ก็มิได้สืบเนื่องมาจากข้อความอันเป็นเท็จนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในส่วนที่จำเลยแจ้งความเท็จ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์