แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้บิดาโจทก์และได้รับเงินมัดจำไปแล้ว โดยตกลงกันว่าจะไปทำสัญญาซื้อขายกันที่อำเภอภายใน 120 วัน ถ้าจำเลยผิดสัญญา จำเลยยอมคืนเงินมัดจำและยอมให้ปรับด้วยนั้น การที่มิได้ปฏิบัติการซื้อขายภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เพราะบิดาโจทก์อพยพย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่นโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ ทั้งไม่ได้มาขอปฏิบัติการชำระหนี้ภายในกำหนด ซ้ำยังปล่อยเวลาให้ล่วงพ้นไปเป็นเวลาถึง 6 ปีเศษนั้น ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยไม่ติดใจเรียกร้องอะไรแก่กันแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบเงินมัดจำและไม่ต้องเสียเบี้ยปรับให้โจทก์ด้วย.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2508)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดิน ๑ แปลงให้แก่นายทองหล่อบิดาโจทก์เป็นเงิน ๗,๓๐๐ บาท จำเลยรับเงินมัดจำไปแล้ว ๗,๐๐๐ บาท จำเลยขอผัดผ่อนให้เจ้าพนักงานได้รับรองการทำประโยชน์เสียก่อน ต่อมานายทองหล่อตาย โจทก์ในฐานะผู้รับมรดกได้เตือนให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ จำเลยก็ขอผัดผ่อนต่อไปอีก จนกระทั่งจำเลยได้ร้องขอขายที่ดินพิพาทนี้ให้แก่บุคคลอื่น โจทก์จึงร้องคัดค้านไว้ ขอให้บังคับจำเลยโอนขายที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ มิฉะนั้นก็ให้คืนมัดจำและเสียเบี้ยปรับให้โจทก์อีก ๗,๓๐๐ บาทด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่สามารถจะทำสัญญาซื้อขายให้โจทก์ได้ ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๗,๐๐๐ บาทแก่โจทก์และให้เบี้ยปรับ ๗,๓๐๐ บาทแก่โจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยทำการโอนที่ดินรายนี้แก่โจทก์ในเมื่อโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินที่ยังชำระไม่ครบให้แก่จำเลยอีก ๔,๓๐๐ บาท หากจำเลยไม่สามารถจะขายให้โจทก์ได้ ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๓,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งชำระเบี้ยปรับให้โจทก์ ๒,๓๐๐ บาทด้วย
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกับนายทองหล่อทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกันเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๙๕ นายทองหล่อชำระเงินมัดจำให้จำเลยไว้ ๓,๐๐๐ บาท นายทองหล่อเข้าอยู่ในที่พิพาทได้เดือนเศษก็อพยพย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่น โดยจำเลยไม่สามารถจะทราบได้ว่าไปอยู่ ณ ที่ใด นายทองหล่อหรือทายาทก็มิได้ติดต่อกับจำเลย จนนายทองหล่อถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ต่อมาวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ จำเลยจึงได้ร้องขอขายที่ดินรายนี้ให้นายพุก โจทก์ผู้เป็นบุตรชายนายทองหล่อจึงคัดค้านและมาฟ้องเป็นคดีนี้
การที่มิได้ปฏิบัติการซื้อขายกันภายใน ๑๒๐ วันนับแต่วันทำสัญญานี้ เป็นเพราะนายทองหล่ออพยพย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่น โดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ ทั้งไม่ได้มาขอปฏิบัติการชำระหนี้ภายในกำหนด ซ้ำยังปล่อยเวลาให้ล่วงพ้นไปเป็นแรมปีถึง ๖ ปีเศษ เช่นนี้ มติที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยไม่ติดใจเรียกร้องอะไรแก่กันแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบเงินมัดจำได้และไม่ต้องเสียเบี้ยปรับให้โจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.