คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะความเจ็บป่วยตามป.วิ.พ.มาตรา40หรือไม่ก็ดีการสั่งงดสืบพยานเพราะเป็นพยานหลักฐานฟุ่มเฟือยเกินสมควรตามป.วิ.พ.มาตรา86วรรคสองหรือไม่ก็ดีเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งตามสมควรแก่กรณีเป็นเรื่องๆไปการที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะไม่เชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจริงเนื่องจากไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดงและโจทก์คัดค้านกับสั่งงดสืบพยานจำเลยเพราะเห็นว่าฟุ่มเฟือยเกินไปเนื่องจากจำเลยได้สืบพยานอย่างเดียวกันมาแล้วเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้ว โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องเช่าทรัพย์แม้คดีจะมีประเด็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทนอันจำเลยอาจนำสืบพยานบุคคลถึงข้อตกลงอื่นที่มิได้ระบุไว้ในสัญญาเช่าได้ก็ตามแต่ก็ต้องนำสืบเท่าที่ได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การเมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในเรื่องนี้เฉพาะข้อตกลงเรื่องทำถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินเท่านั้นมิได้กล่าวอ้างถึงเงื่อนไขข้อตกลงค่าถมดิน 150,000บาทว่าเป็นการตอบแทนการเช่าที่พิพาทข้อนำสืบของจำเลยจึงนอกประเด็นไม่ชอบที่ศาลจะรับฟัง จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์เพื่อทำกิจการค้าไม้แปรรูปแล้วทำถนนในที่พิพาทใช้สำหรับรถบรรทุกไม้แปรรูปเข้าออกอันเป็นประโยชน์ในกิจการค้าไม้ของจำเลยแม้โจทก์จะได้รับประโยชน์บ้างก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าที่พิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทนเป็นพิเศษยิ่งไปกว่าสัญญาเช่าธรรมดา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2504 จำเลยเช่าที่ดินโจทก์มีกำหนด 3โจทก์มีกำหนด 30 ปี ค่าเช่าเดือนละ 730 บาท แต่มิได้จดทะเบียนการเช่าตามกฎหมาย สิทธิการเช่าจึงมีเพียง 3 ปี โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าที่พิพาทต่อไป จึงได้บอกเลิกสัญญาการเช่ากับจำเลยแต่จำเลยไม่ยอมขนย้ายออกไปจากที่พิพาททำให้โจทก์เสียหาย หากนำที่พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 30,000 บาท และจำเลยค้างค่าเช่ารวม 47 เดือน เป็นเงิน 34,310 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยชำระเงิน 34,310 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับอีกเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่พิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเช่าที่พิพาทโดยมีข้อตกลงให้จำเลยออกทุนพัฒนาที่ดินก่อสร้างถนนกว้างประมาณ 6 เมตร ยาวประมาณ20 เมตร ใช้เป็นทางเข้าออกระวห่างถนนพหลโยธินกับที่พิพาท แล้วยกกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์เพื่อตอบแทนการเช่าตามกำหนดระยะเวลาในสัญญาเช่า จำเลยก่อสร้างถนนเสียเงินไปทั้งสิ้น 50,000 บาท ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษ จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่พิพาทจนถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2534 จำเลยค้างชำระค่าเช่าเพียง3 เดือน หากโจทก์ได้รับความเสียหายก็ไม่เกินเดือนละ 730 บาทการบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ให้ไปจดทะเบียนการเช่าที่พิพาทกับจำเลยมีกำหนดระยะเวลาเช่าจนถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2534 หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การเช่าที่พิพาทไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน โจทก์ไม่เคยตกลงให้จำเลยทำถนนเพื่อตอบแทนการเช่าที่พิพาทตามฟ้องแย้ง สัญญาเช่าที่พิพาทบังคับได้ 3 ปี การบอกเลิกสัญญาเช่าชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิเช่าที่พิพาทต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทกับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 34,240 บาท และใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องเดือนละ15,000 บาท แก่โจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้1,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 1,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยข้อแรกว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนสืบพยานโจทก์กับคำสั่งที่ให้งดสืบพยานจำเลย เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวแล้วหรือยัง ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการอนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะความป่วยเจ็บตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 กับการงดสืบพยานเพราะเป็นพยานหลักฐานฟุ่มเฟือยเกินสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรค 2 เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งตามสมควรแก่กรณีเป็นเรื่อง ๆ ไปหาใช่ว่าศาลจำต้องให้เลื่อนคดีหรือให้สืบพยานทุกกรณีเสมอไปดังที่จำเลยฎีกาไม่ ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม เกี่ยวกับการไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีของศาลชั้นต้นในคดีนี้ปรากฎว่า ภายหลังสืบพยานโจทก์นัดแรกแล้ว ศาลสั่งเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปวันที่ 7 พฤศจิกายน 2526 ถึงวันนัดทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าป่วยโดยมิได้มีใบรับรองแพทย์มาด้วย จึงถูกโจทก์คัดค้านว่า จำเลยประวิงคดีเพราะไม่ได้ระบุว่าป่วยเป็นโรคอะไร ไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดง และโจทก์มีพยานมาพร้อมที่จะสืบ กับการงดสืบพยานจำเลยของศาลชั้นต้นตามที่ปรากฎจากรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2527ตามที่ทนายจำเลยแถลงว่าข้อเท็จจริงจากพยานที่จำเลยจะำสืบและศาลชั้นต้นสั่งงดสืบนั้นเป็นข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับที่จำเลยเคยนำสืบจากพยานอื่นมาแล้ว เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี เพราะไม่เชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจริงเนื่องจากไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดง และโจทก์คัดค้านก็ดี กับสั่งงดสืบพยานจำเลยเพราะเห็นว่าฟุ่มเฟือยเกินไป เนื่องจากจำเลยได้สืบพยานอย่างเดียวกันมาแล้วก็ดี เป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้วในเรื่องนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยโดยตรงว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่การที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยถึงคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นแล้วว่าไม่สมควรแก้ไข ก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการวินิจฉัยข้อทุธรณ์ดังกล่าวแล้ว ส่วนการที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีกับให้งดสืบพยานจำเลยนั้น แม้จะทำให้จำเลยไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์กับจำเลยไม่ได้สืบพยานต่อไปเป็นเหตุให้ดจำเลยแพ้คดีก็เป็นผลโดยตรงจากคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของศาล มิได้ขัดต่อเจตนารมย์ของกฎหมายดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาจำเลยข้นี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่า สัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญฯาต่างตอบแทนชนิดพิเศษ จำเลยนำสืบถึงข้อตกลงเกี่ยวกับเงินถมดิน 150,000 บาท ซึ่งเป็นรายละเอียดในชั้นพิจารณาและศาลรับฟังได้นั้น จำเลยนำสืบว่าจำเลยเช่าที่พิพาทเพื่อใช้ปลูกสร้างอาคารทำกิจการค้าไม้แปรรูปและเป็นที่อยู่อาศัย จำเลยได้จ่ายค่าถมดินให้โจทก์ 3 ครั้ง เป็นเงิน 150,000 บาท เนื่องจากที่พิพาทเป็นที่นาและให้จำเลยทำถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินเสียค่าทำไป 50,000 บาทเสร็จแล้วยกให้แก่โจทก์เพื่อตอบแทนการเช่า 30 ปี พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้คดีนี้จะมีประเด็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทนอันจำเลยอาจนำสืบพยานบุคคลถึงข้อตกลงอื่นที่มิได้มีระบุไว้ในสัญญาเช่าได้ก็ตาม แต่จำเลยก็ต้องนำสืบเท่าที่ได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การนอกจากนี้แม้จะได้นำสืบก็ไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังเพราะนอกประเด็นข้อต่อสู้ ปรากฎจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยในเรื่องนี้มีเฉพาะข้อตกลงเรื่องทำถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินเท่านั้น มิได้กล่าวอ้างถึงเงื่อนไขข้อตกลงค่าถมดิน 150,000 บาท ว่าเป็นการตอบแทนการเช่าที่พิพาทด้วย ข้อนำสืบของจำเลยจึงนอกประเด็น ที่ศาลไม่รับฟังชอบแล้วส่วนเรื่องทำถนนเชื่อมระหว่างที่พิพาทกับถนนพหลโยธิน ได้ความจากนายเจ๊กเกา แซ่จึง กรรมการผู้จัดการของจำเลยว่า จำเลยเช่าที่พิพาทเพื่อทำกิจการค้าไม้แปรรูป ถนนที่ทำก็ใช้สำหรับรถบรรทุกไม้แปรรูปเข้าออก เชื่อได้ว่าการทำถนนดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในกิจการค้าไม้ของจำเลย มิใช่เพราะมีข้อตกลงต่างหากจากสัญญาเช่าแม้การทำถนนเพื่อประโยชน์ของจำเลยนั้นโจทก์จะได้รับประโยชน์บ้างก็หาทำให้สัญญาเช่าที่พิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทนเป็นพิเศษยิ่งไปกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีก
ฯลฯ
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นนี้แทนโจทก์1,000 บาท”.

Share