แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลยกับพวกโดย มีเจตนาเพียงให้จำเลยกับพวกช่วย ฝากบุตรและบุตรสะใภ้ของตน เข้าทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตาม ที่จำเลยกับพวกได้ รับรองไว้เท่านั้นไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายประสงค์ให้บุตรและบุตรสะใภ้เข้าทำงานโดย ไม่ต้องสอบและให้กรรมการช่วย ให้สอบได้ แต่ อย่างใด การกระทำของผู้เสียหายไม่เข้าลักษณะเป็นการจูงใจให้เจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐกระทำการอันมิชอบด้วย หน้าที่ ถือ ไม่ได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ใช้ ให้จำเลยกับพวกกระทำผิด เมื่อผู้เสียหายมอบเงินให้เพราะหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยกับพวก อันเป็นความเท็จความจริงจำเลยกับพวกไม่สามารถช่วยเหลือฝากบุตรและบุตรสะใภ้ของผู้เสียหายเข้าทำงานตาม ที่รับรองได้ การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการฉ้อโกงผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนิน คดีกับจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงิน 100,000 บาท แก่นางกลั่น โกศรีวงศ์และจำนวน 50,000 บาท แก่นายสด ตัญญาภักดิ์ ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1038/2529 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา341 รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปีนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 1038/2529หมายเลขแดงที่ 1351/2530 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน100,000 บาท แก่นางกลั่น โกศรีวงศ์ และเงิน 50,000 บาท แก่นายสดตัญญาภักดิ์ ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นางกลั่นและนายสดผู้เสียหายมอบเงินให้นายเยื้อนและนางสำราญพวกจำเลย มีวัตถุประสงค์ให้บุตรและบุตรสะใภ้เข้าทำงานโดยไม่ต้องสอบ และมุ่งหมายจะให้กรรมการสอบช่วยให้นางสาวศิริญญา นายพิสิทธิ์ และนางอำไพสอบได้เป็นการจูงใจให้เจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ถือได้ว่านางกลั่นและนายสดใช้ให้นายเยื้อนนางสำราญและจำเลยกระทำผิด จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์คดีนี้ได้ พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยกับพวกกระทำผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางกลั่นโกศรีวงศ์ นายสด ตัญญาภักดิ์ ผู้เสียหาย นายพิสิทธิ์ โกศรีวงศ์นางสาวศิริญญา ตัญญาภักดิ์ นายอุดม มาศิริ นายภู รุ่งเรืองนางอำไพ โสรสิงห์ นายอ้วน โสรสิงห์ และนายต่วน มังบู่แวนเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นในขณะเกิดเหตุ ต่างเบิกความยืนยันต้องกันว่า หลังจากผู้เสียหายทั้งสองมอบเงินให้นายเยื้อนและนางสำราญวรรณะ พวกจำเลย จำนวน 150,000 บาท เป็นค่าตอบแทนที่บุคคลทั้งสองจะฝากนายพิสิทธิ์บุตรนางกลั่น นางสาวศิริญญาบุตรนายสดและนางอำไพบุตรสะใภ้นางกลั่นเข้าทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้ว นางสำราญกับพวกพาไปพบจำเลยที่โรงแรมควีนส์ อำเภอชุมแพจังหวัดขอนแก่น เห็นว่า เมื่อนางสำราญกับพวกแนะนำให้ผู้เสียหายรู้จักจำเลยว่า มีตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถฝากคนเข้าทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ จำเลยก็หาได้โต้แย้งคัดค้านว่าไม่เป็นความจริงเช่นนั้นไม่ กลับแสดงตนรับสมอ้างว่ามีตำแหน่งดังกล่าวจริง และอวดอ้างว่ารู้จักเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ สามารถฝากคนเข้าทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้และจำเลยได้นำใบสมัครเข้าทำงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมาให้นายพิสิทธิ์ นางสาวศิริญญาและนางอำไพกรอกข้อความในใบสมัครระบุว่า นายพิสิทธิ์ทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดร้อยเอ็ดนางสาวศิริญญาทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดกาฬสินธุ์นางอำไพทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอโชคชัยตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม 2528 เมื่อกรอกข้อความเสร็จ นายอุดมและนายภูลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกัน นายพิสิทธิ์และนางสาวศิริญญา ส่วนนายต่วนลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันนางอำไพ หลังจากนั้นจำเลยกับพวกยังพูดรับรองว่าในวันที่ 1 ตุลาคม 2528 จะได้เข้าทำงาน เมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าวนายพิสิทธิ์นางสาวศิริญญาและนางอำไพก็ยังไม่ได้เข้าทำงานโดยพวกจำเลยขอผัดผ่อนไปหลายครั้งจนจำเลยถูกเจ้าพนักงานจับกุมในข้อหาฉ้อโกงในคดีอื่นอันมีพฤติการณ์ทำนองเดียวกับคดีนี้ ผู้เสียหายและพยานของโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยกับพวกมาก่อนเหตุระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจึงไม่มี คดีนี้เหตุที่ผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลยกับพวกก็โดยมีเจตนาเพียงให้จำเลยกับพวกช่วยฝากบุตรและบุตรสะใภ้ของตนเข้าทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามที่จำเลยกับพวกได้รับรองไว้เท่านั้นทางพิจารณาไม่ปรากฎว่ามีพยานโจทก์ปากใดยืนยันว่า บุตรและบุตรสะใภ้ของผู้เสียหายสมัครสอบเข้าทำงานยังสถานที่ดังกล่าวแล้วตั้งแต่เมื่อใด ผู้เสียหายหาได้ประสงค์ให้บุตรและบุตรสะใภ้เข้าทำงานโดยไม่ต้องสอบ และหาได้มุ่งหมายจะให้กรรมการสอบช่วยให้สอบได้แต่อย่างใดไม่ การกระทำของผู้เสียหายไม่เข้าลักษณะเป็นการจูงใจให้เจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ใช้ให้จำเลยกับพวกกระทำผิดดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างมาในคำแก้ฎีกานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า ผู้เสียหายมอบเงินจำนวน 150,000 บาทให้จำเลยกับพวกเพราะหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยกับพวกว่าสามารถช่วยเหลือฝากบุตรและบุตรสะใภ้ของผู้เสียหายเข้าทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ อันเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยกับพวกไม่สามารถกระทำการดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นคดีนี้แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยกับพวกฉ้อโกงผู้เสียหายหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดการกระทำของจำเลยกับพวกให้ปรากฏพอที่จะให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรมดังที่ได้ความจากทางพิจารณา ศาลจะลงโทษจำเลยแต่ละกรรมนอกเหนือจากฟ้องหาได้ไม่”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา341, 83 จำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากนี้ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.