คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ด.และค.ซึ่งเป็นตาและยายของจำเลยที่1ปลูกบ้านในที่พิพาทเพราะคนทั้งสองซื้อที่พิพาทมาจากบ.และผ.เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทคนเดิมหาใช่เพราะบ.และผ.อนุญาตให้คนทั้งสองอยู่อาศัยไม่และจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันโดยสืบทอดมาจากตายายและบิดามารดาของจำเลยที่1มานานหลายสิบปีที่พิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองตามกฎหมายแม้ส. บุตรของบ.และผ.ได้ขอจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่พิพาทโดยการครอบครองตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วก็ตามส.ก็หามีสิทธิดีกว่าอันจะเป็นเหตุให้มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองไม่เพราะส.มิใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1299วรรคสองเมื่อส.ผู้โอนไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองโจทก์ทั้งสี่ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองเพราะโจทก์ทั้งสี่ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่าส. ผู้โอน แม้คำสั่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแสดงว่าส. ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามกฎหมายก็ตามแต่จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าเมื่อจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามกฎหมายคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคสอง(2)

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนบ้านเรือนพร้อมยุ้งข้าวและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่2093 ตำบลค่ายเก่า (รั้วใหญ่) อำเภอเมือสุพรรณบุรีจังหวัดสุพรรณบุรี และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่เป็นเงินปีละ 4,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อประมาณ 70 ปีมาแล้ว นายบุดและนางผ่องผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2093ได้แบ่งขายที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศตะวันตกและด้านทิศเหนือบางส่วนซึ่งเป็นที่พิพาทให้แก่นายเดชและนางแคเนื้อที่ประมาณ3 งาน โดยได้มอบการครอบครองที่พิพาทให้แก่นายเดชและนางแค แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นายเดชและนางแคครอบครองที่พิพาทโดยการปลูกบ้านเรือนยุ้งข้าว และทำประโยชน์อย่างอื่นในที่ดินโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนกระทั่งนายเดชและนางแคถึงแก่ความตายเมื่อประมาณ 60 ปีมาแล้ว หลังจากนั้นนายเหว่าและนางตาบซึ่งเป็นบุตรเขยและบุตรสาวได้ครอบครองที่พิพาทสืบต่อมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนกระทั่งนายเหว่าและนางตาบถึงแก่ความตายเมื่อประมาณ5 ถึง 6 ปีมาแล้ว จำเลยซึ่งเป็นบุตรและบุตรสะใภ้ของนายเหว่าและนางตาบได้ครอบครองที่พิพาทสืบต่อมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลาที่ครอบครองที่พิพาทสืบต่อกันมาประมาณ 70 ปี ที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองด้วยการครอบครองตามกฎหมายนายบุดและนางผ่องไม่เคยยกที่พิพาทให้แก่นายสอาดนายสอาดไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่พิพาท นายสอาดร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและนำคำสั่งศาลชั้นต้นไปจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นของตนทั้งหมดเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต โดยรู้อยู่แล้วว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสอง และเป็นการได้มาโดยไม่เสียค่าตอบแทนจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท นายสอาดจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่โดยเสน่หาและไม่สุจริต โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยทั้งสองซึ่งมีสิทธิที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทได้ก่อน จำเลยทั้งสองไม่เคยรับว่าจะรื้อถอนขนย้ายบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทฟ้องโจทก์ทั้งสี่ที่เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่จะทำประโยชน์อะไรในที่พิพาท ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2093 เฉพาะส่วนที่จำเลยทั้งสองครอบครองทางด้านทิศตะวันตกและด้านทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ 3 งาน เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองตามกฎหมาย ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของนายสอาดและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างนายสอาดกับโจทก์ทั้งสี่เฉพาะส่วนที่จำเลยทั้งสองครอบครอง หากโจทก์ทั้งสี่ไม่ยอมไปจดทะเบียนเพิกถอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนโอนที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสอง
โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายบุดและนางผ่องไม่เคยแบ่งขายที่พิพาทให้แก่นายเดชและนางแค นายเดชและนางแคไม่เคยครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเดิมนายเดชและนางแคมีบ้านเรือนพักอาศัยอยู่ห่างจากที่พิพาทประมาณ 5 เส้น เมื่อนายบุดและนางผ่องชักชวนนายเหว่าและนางตาบให้มาอาศัยอยู่ในที่พิพาทนายเดชและนางแคได้ติดตามมาอาศัยอยู่กับนายเหว่าและนางตาบหลังจากนายเดชและนางแคถึงแก่ความตาย นายเหล่าและนางตาบคงครอบครองที่พิพาทในฐานะผู้อาศัย ที่พิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 80ตารางวาเท่านั้น ไม่ใช่ 3 งาน การที่นายสอาดยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ได้กระทำไปโดยสุจริตและเปิดเผยศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวนโดยชอบซึ่งจำเลยก็ทราบแต่ไม่คัดค้าน การที่นายสอาดนำคำสั่งศาลชั้นต้นไปจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมทั้งจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่เป็นการกระทำโดยสุจริต โจทก์ทั้งสี่ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ของนายสอาดและโจทก์ทั้งสี่ ก่อนฟ้องจำเลยทั้งสองคนติดต่อขอซื้อที่พิพาทจากโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ขาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2093 ตำบลค่ายเก่า(รั้วใหญ่) อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เฉพาะที่พิพาทเนื้อที่ 1 งาน 30 ตารางวา ภายในเส้นสีเขียวตามแผนที่พิพาทฉบับวันที่ 25 สิงหาคม 2535 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองปรปักษ์ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายสอาด ปานชา และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างนายสอาด ปานชา กับโจทก์ทั้งสี่เฉพาะที่พิพาท คำขออื่นตามฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้ยกและให้ยกฟ้องของโจทก์
โจทก์ ทั้ง สี่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 1 งาน 30 ตารางวา ซึ่งอยู่ภายในเส้นสีเขียวตามแผนที่พิพาทและเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 2093ตำบลค่ายเก่า (ปัจจุบันตำบลรั้วใหญ่) อำเภอเมืองสุพรรณบุรีจังหวัดสุพรรณบุรี เดิมที่ดินดังกล่าวมีนายบุดและนางผ่องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2530 นายสอาดซึ่งเป็นบุตรได้ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสอาดโดยการครอบครองตามกฎหมาย นายสอาดได้ขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเป็นของตน เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2530ต่อมานายสอาดได้ขอจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสองมีจำเลยทั้งสองนายชะเอม ปานชาบุตรของจำเลยทั้งสองและนายละออก คชาชัย เป็นพยานเบิกความว่า นายเดชและนางแคซึ่งเป็นตาและยายของจำเลยที่ 1ซื้อที่พิพาทมาจากนายบุดและนางผ่องแล้วปลูกบ้านและครัว 1 หลังในที่พิพาทเมื่อประมาณ 70 ปีมาแล้ว เมื่อนางแคได้รื้อบ้านดังกล่าวถวายให้วัดซึ่งอยู่ใกล้ที่พิพาท ต่อมานายแค นายเหว่าและนางตาบบิดาและมารดาของจำเลยที่ 1 ได้ปลูกบ้านหลังใหม่ตรงบริเวณที่ปลูกบ้านหลังเดิม บ้านที่ปลูกสร้างขึ้นใหม่คือบ้านเลขที่ 129ซึ่งจำเลยทั้งสองอาศัยมาจนกระทั่งปัจจุบัน จำเลยทั้งสองได้รื้อครัวหลังเดิมมาปลูกใหม่ทางทิศใต้ของบ้านเลขที่ 129 และยังได้สร้างยุ่งข้าวขึ้นอีก 1 หลังทางด้านทิศใต้การปลูกสร้างครัวก็ดีบ้านและยุ้งข้าวก็ดี จำเลยทั้งสองใช้ประโยชน์ที่พิพาทโดยไม่มีบุคคลใดทักท้วงหรือห้ามปราม ส่วนโจทก์ทั้งสี่อ้างว่าการที่นายเดช และนางแคปลูกบ้านในที่พิพาทเพราะนายบุดและนางผ่องเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทคนเดิมอนุญาตให้นายเดชและนางแคอยู่อาศัยนั้น แต่นายสอาดพยานโจทก์ทั้งสี่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองว่า เมื่อประมาณ 10 ปี มาแล้วนางทองพูนพี่สาวของพยานเคยขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทนั้น จำเลยทั้งสองก็เถียงนางพูนว่าซื้อที่พิพาทมาจากนายบุดและนางผ่อง นายเสนาะ ตรีเดชา พยานโจทก์ทั้งสี่อีกปากหนึ่งซึ่งเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านและขณะเบิกความเป็นกำนันท้องที่เบิกความว่าก่อนหน้านี้นางบรรจงน้องสาวของโจทก์ที่ 1 มาขอให้พยานบอกให้จำเลยทั้งสองอกไปจากที่พิพาท พยานเรียกจำเลยที่ 2มาพบ จำเลยที่ 2 ไม่ยอมออกไปอ้างว่าอยู่มานานจะสู้เรื่องปกครองแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ยอมรับนับถืออำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของโจทก์ทั้งสี่และของบุคคลอื่นใด แม้จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานการซื้อขายที่พิพาทระหว่างนายบุดและนางผ่องกับนายเดชและนางแค คงมีแต่พยานบุคคลซึ่งเป็นพยานบอกเล่าที่สืบทอดกันมาก็ตาม แต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานดังกล่าว ตามแผนที่พิพาทนอกจากบ้านและยุ้งข้าวของจำเลยทั้งสองแล้ว คงมีเพียงส่วนเล็กน้อยของบ้านนางกัลยา สาลีผลบุตรของโจทก์ที่ 1 ที่อยู่ในเขตที่พิพาท ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 และของจำเลยทั้งสองต้องกันว่า บ้านของนางกัลยาปลูกอยู่นอกเขตของที่พิพาทที่พิพาทมีทางออกสู่ถนนสาธารณะไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ทั้งสี่โจทก์ที่ 4 เบิกความรับว่า ที่ดินที่จำเลยทั้งสองครอบครองมีเนื้อที่ 1 งาน 30 ตารางวา โจทก์ที่ 3 ซึ่งมีอายุ 43 ปีตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองว่า พยานเห็นนายเหว่าและนางตาบและจำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทอย่างสงบและโดยเปิดเผยมาตั้งแต่พยานจำความได้ อันเป็นการเจือสมกับข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่นายเดชและนางแคปลูกบ้านในที่พิพาทเพราะนายเดชและนางแคซื้อที่พิพาทมาจากนายบุดและนางผ่องเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทคนเดิมหาใช่เพราะนายบุดและนางผ่องอนุญาตให้นายเดชและนางแคอยู่อาศัยไม่ และจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันโดยสืบทอดมาจากตายายและบิดามารดาของจำเลยที่ 1 มานานหลายสิบปีที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองตามกฎหมายแม้นายสอาดได้ขอจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่พิพาทโดยการครอบครองตามคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม นายสอาดก็หามีสิทธิดีกว่าอันจะเป็นเหตุให้มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองไม่เพราะนายสอาดมิใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อนายสอาดผู้โอนไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองโจทก์ทั้งสี่ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองเพราะโจทก์ทั้งสี่ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่านายสอาดผู้โอน ส่วนที่โจทก์ทั้งสี่ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า นายสอาดได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามกฎหมายตามคำสั่งของศาลชั้นต้นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 211/2531คดีถึงที่สุด ศาลไม่มีอำนาจเพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่พิพาทของโจทก์ทั้งสี่นั้น เห็นว่า ถึงแม้คำสั่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแสดงว่านายสอาดได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามกฎหมายก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าเมื่อได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วว่า จำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามกฎหมายคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรค 2(2)
พิพากษายืน

Share