คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรายเดียวกันกับคดีก่อน ซึ่งผู้คัดค้านในคดีนี้เป็นโจทก์ และผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์โดยผู้ร้องอ้างเหตุในคดีก่อนว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำร้องขัดทรัพย์โดยวินิจฉัยว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะผู้จะซื้อ มิใช่ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ การที่ผู้ร้องมาร้องเป็นคดีนี้อ้างว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์อีก แม้ผู้ร้องอ้างว่า ได้ชำระราคาที่ดินครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่การได้กรรมสิทธิ์ โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่าผู้ร้อง ชำระราคาค่าที่ดินครบถ้วนแล้วหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าผู้ร้อง ครอบครองโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของครบสิบปี แล้วหรือไม่ ดังนั้นการที่ผู้ร้องมาร้องเป็นคดีนี้ย่อมเป็น การรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัย เหตุเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2524 ผู้ร้องซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 25718 ตำบลบางบำหรุ (บางบำหรุฝั่งเหนือ) อำเภอบางกอกน้อย (ตลิ่งชัน) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 92 ตารางวา จากบริษัทแกรนด์เซ็นทรัลคอนสตรัคชั่น จำกัด และวันที่ 31 พฤษภาคม 2525ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6284 เนื้อที่ 38 ตารางวา ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนด 25718 จากนางสาวลลิษา มหาเจริญ ในราคารวม 783,000 บาท ผู้ร้องชำระเงินให้ผู้ขายแล้วผู้ร้องได้ปลูกสร้างบ้านและเข้าอยู่อาศัยครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงโดยสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของต่อเนื่องตลอดมาถึงปัจจุบันเกิน 10 ปีแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงโดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว จึงต้องห้ามตามกฎหมายขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินคือโฉนดเลขที่ 25718 เนื้อที่ 92 ตารางวา และโฉนดเลขที่ 6284 เนื้อที่ประมาณ 38 ตารางวา ที่ดินตั้งอยู่ที่แขวงบางบำหรุ (บางบำหรุฝั่งเหนือ) เขตบางกอกน้อย (ตลิ่งชัน) กรุงเทพมหานคร ทั้งสองแปลงแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอในส่วนที่ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 25718 ตำบลบางบำหรุ (บางบำหรุฝั่งเหนือ) อำเภอบางกอกน้อย (ตลิ่งชัน) กรุงเทพมหานคร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายโต้แย้งในชั้นฎีกาเพียงประเด็นเดียวว่า การที่ผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 25718 นั้นเป็นร้องซ้ำหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าเดิมผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์ในชั้นบังคับคดีของศาลแพ่งว่าที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ผู้คัดค้านซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวคัดค้านศาลแพ่งพิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยวินิจฉัยว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะผู้จะซื้อมิใช่ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้จะครอบครองนานเพียงใดก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาผู้ร้องมาร้องเป็นคดีนี้ โดยอ้างว่าได้ชำระหนี้ค่าที่ดินให้แก่บริษัทผู้จะขายครบถ้วนแล้วจึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนี้ เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรายเดียวกันกับคดีก่อนซึ่งผู้คัดค้านในคดีนี้เป็นโจทก์ และผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์โดยอ้างเหตุเดียวกันว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ การที่ผู้ร้องมาร้องเป็นคดีนี้อ้างว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์นั้นอีก ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ผู้ร้องอ้างว่า ในคดีนี้มีข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้ชำระหนี้ค่าที่ดินครบถ้วนแล้วจึงเป็นคนละประเด็นกันนั้น เห็นว่า การอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่าผู้ร้องชำระหนี้ค่าที่ดินครบถ้วนแล้วหรือไม่แต่อยู่ที่ว่าผู้ร้องครอบครองโดยสงบ เปิดเผย เพราะเป็นเจ้าของครบสิบปีแล้วหรือไม่ ดังนั้นประเด็นในคดีนี้และคดีก่อน จึงเป็นอย่างเดียวกันนั่นเอง เมื่อผู้ร้องอ้างว่าได้ชำระค่าที่ดินพิพาทครบถ้วนแล้ว ก็ควรที่จะบังคับให้ผู้จะขายปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้หาใช่มาร้องเป็นคดีนี้ในประเด็นเดียวกันกับคดีก่อนซ้ำอีกไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องขอในส่วนที่ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทนั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share