แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนที่ผู้เสียหายทั้งเก้าคนจะไปสมัครงานที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม.เอ็ม.พี พนักงานของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวคนหนึ่งได้ไปชักชวนผู้เสียหายทั้งเก้าคนให้มาสมัครงานกับห้างหุ้นส่วน เมื่อผู้เสียหายทั้งเก้าคนมาพบจำเลยทั้งสองซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างหุ้นส่วนนั้น ได้ร่วมกันชักชวนผู้เสียหายให้ไปทำงานต่างประเทศ อ้างว่างานดี ค่าจ้างดี ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวมีความมั่นคงไม่หลอกลวง ทั้งจำเลยทั้งสองได้ทดสอบฝีมือผู้เสียหายทั้งเก้าคน พาไปตรวจโรคและทำหนังสือเดินทาง จำเลยทั้งสองได้รับค่าบริการจากผู้เสียหายคนละ 31,830 บาท พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวส่อให้เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยต่างแบ่งหน้าที่กันทำ จึงเป็นความผิดฐานเป็นตัวการฉ้อโกงประชาชน
จำเลยได้พูดชักชวนผู้เสียหายทั้งเก้าคนสมัครงานกับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม.เอ็ม.พี โดยพูดชักชวนและเรียกค่าบริการจาก ฉ.บ.และถ. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2526 ป. กับ ม. เมื่อวันที่ 9ธันวาคม 2526 ฉ.กับส.เมื่อวันที่29พฤศจิกายน2526ฐ. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2526 และ ต. เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2526 รวม 5 วัน จึงเป็นความผิด 5 กระทง
การที่จำเลยพูดจาหลอกลวงชักชวนผู้เสียหายและประชาชนให้มาสมัครงานกับห้างหุ้นส่วน เอ็ม.เอ็ม.พี ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสำนักจัดส่งคนงานไปต่างประเทศ การกระทำของจำเลยมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายแต่อย่างใด เพียงแต่อ้างเอาเหตุที่จะส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศมาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้น กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตอันจะเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341, 343 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 286,470 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งเก้าคนคนละ 31,830 บาท
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 27 จำคุกคนละ 1เดือน และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 รวม 5 กระทง จำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ 5 ปี เมื่อรวมแล้วให้จำคุกคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 256,470 บาท แก่ผู้เสียหาย โดยให้นายเฉลิม เงินแถบ 1,830 บาท นอกนั้นคนละ 31,830 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ประกอบด้วยมาตรา 86 โดยกระทำผิดรวม 4กรรม ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 จำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ 1 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุกคนละ 4 ปี ให้ยกฟ้องความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม.เอ็ม.พี เป็นนิติบุคคล มีนายไพบูลย์ จันนารี เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวมิได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสำนักงานจัดส่งคนงานไปต่างประเทศ การที่จำเลยทั้งสองพูดจาหลอกลวงชักชวนผู้เสียหายและประชาชนให้มาสมัครงานกับห้างหุ้นส่วนดังกล่าวโดยอ้างว่า ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวสามารถจัดส่งคนงานไปทำงานที่ประเทศดูไบโดยคนงานจะได้รับเงินเดือนสูง โดยเรียกค่าบริการจากผู้สมัคร ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงไปสมัครซึ่งแสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองเพียงแต่อ้างเอาเหตุที่จะส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศมาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้น ทั้งตามฟ้องโจทก์ก็บรรยายว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานและมิได้ดำเนินการติดต่อกับบริษัทใดๆ ที่ประเทศดูไบ และไม่สามารถจัดส่งประชาชนที่มาสมัครงานไปต่างประเทศได้ ทั้งจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาที่จะส่งประชาชนที่มาสมัครงานไปทำงานต่างประเทศแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นชอบด้วยในผล
ส่วนคดีเกี่ยวกับความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดเพียงผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา343 ประกอบด้วยมาตรา 86 จึงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องโจทก์หรือไม่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ก่อนผู้เสียหายทั้งเก้าคนจะไปสมัครงานที่สำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม.เอ็ม.พี ซึ่งมีนายไพบูลย์ จันนารีเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายเสนาะ เชียงอินทร์ ซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวไปชักชวนผู้เสียหายทั้งเก้าคนให้มาสมัครงานกับห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว โดยจะรับสมัครคนงานไปทำงานที่ประเทศดูไบหลายตำแหน่ง เมื่อผู้เสียหายทั้งเก้าคนมาพบจำเลยทั้งสองซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันชักชวนผู้เสียหายทั้งเก้าคนให้ไปทำงานต่างประเทศ อ้างว่า งานดี ค่าจ้างดี ห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวมีความมั่นคง ไม่หลอกลวง ทั้งจำเลยทั้งสองได้ทำการทดสอบฝีมือผู้เสียหายทั้งเก้า พาไปตรวจโรคและทำหนังสือเดินทาง จำเลยทั้งสองได้รับเงินค่าบริการต่างๆ ในการจัดหางานจากผู้เสียหายทั้งเก้าคน คนละ 31,830 บาท ผู้เสียหายทั้งเก้าคนได้ทำสัญญาไปทำงานต่างประเทศกับนายไพบูลย์หุ้นส่วนผู้จัดการพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวส่อชี้ให้เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยต่างแบ่งหน้าที่กันทำ จึงเป็นความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นเพียงผู้สนับสนุนนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ในปัญหานี้ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน 5 กระทง ไม่ใช่ 4 กระทง ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้น พิเคราะห์แล้ว คดีได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งเก้าคนว่า จำเลยทั้งสองได้พูดชักชวนให้ผู้เสียหายทั้งเก้าคนสมัครงานกับห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว โดยพูดชักชวนให้นายเฉลิม นามกิ่ง นายบุญส่ง เงินแถบ และนายถม ทองชันลุก สมัครงานและเรียกเอาเงินค่าบริการต่างๆ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2526 นายประเทือง มาลัยนาค กับนายมานพ พุ่มพวง เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2526นายเฉลิม เงินแถบ กับนายสมศักดิ์ ทองมูล เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน2526 นายสฐี เนตรวิจิตร เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2526 และนายตี๋ทับเสนีย์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2526 การกระทำของจำเลยทั้งสองที่พูดชักชวนประชาชนผู้มาสมัครแต่ละวันดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อรวม 5 วันจึงเป็นความผิด 5 กระทง หาใช่ 4 กระทงดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก รวม 5 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษโดยจำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ 5 ปี เมื่อรวมแล้วให้จำคุกคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’.