คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1347/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นอินยิเนียร์เรือมีทองไว้ในครอบครองมากเกินจะเป็นของใช้ส่วนตัว ซึ่งทองนี้ซุกไว้ในโต๊ะทำงานของจำเลยในเรือซึ่งเข้ามาสู่ประเทศไทยจากต่างประเทศ เป็นการส่อว่าจำเลยไม่สุจริตในการพาเข้ามาในประเทศเมื่อมีกฎหมายศุลกากรบัญญัติให้ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงาน จำเลยไม่แจ้ง แม้จำเลยจะยังมิได้เอาทองเคลื่อนย้ายออกจากเรือเพื่อนำขึ้นบก ก็ถือว่าจำเลยกระทำผิด ฐานพาทองอันเป็นของต้องห้ามเข้ามาในประเทศ โดยมิได้รับอนุญาตแล้ว

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๔๙๔ เวลากลางวัน จำเลยเป็นอินยิเนียร์เรือเสฉวน ซึ่งเดินระหว่างฮ่องกงและประเทศไทย ได้บังอาจนำทองคำ ๘๐ แท่งรวมน้ำหนัก ๑๕ กิโลกรัม คิดเป็นเงินไทย ๔๕๔,๖๐๘ บาท อันเป็นสินค้าที่ตกอยู่ในข่ายแห่งความควบคุมโดยมีพระราชกฤษฎีกาประกาศห้ามมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร จากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง หรือผู้ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเหตุเกิดที่ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ขอให้ศาลลงโทษและริบของกลาง และจ่ายเงินสินบนกับเงินรางวัลจับด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยผิดจริง จึงพิพากษาให้จำคุก ๖ เดือน ริบของกลาง จ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับและจ่ายรางวัลแก่ผู้จับ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอ้างข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยมีทองเป็นส่วนตัวมาในเรือเพียงแต่เรือเข้ามาจอดในท่าศุลกากร ยังไม่ได้เอาของออกจากเรือนำขึ้นบก ยังถือไม่ได้ว่าได้มีการกระทำผิดฐานนำของเข้ามาในราชอาณาจักรนั้น เห็นว่า ถ้าเป็นการนำเข้ามาโดยสุจริต ก็อาจเป็นได้ดังจำเลยว่า แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตลักลอบนำทองเข้ามาในราชอาณาจักร ฉะนั้น แม้จะยังมิได้นำขึ้นจากเรือก็ถือได้ว่ามีความผิดครบถ้วน พิพากษายืน

Share