คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341-1342/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การส่งมอบทรัพย์ให้ไปตามคำหลอกลวงของจำเลยที่ว่าจะช่วยให้เข้ารับราชการนั้น ไม่ใช่การกระทำอันมีความประสงค์ผิดกฎหมาย ผู้ส่งทรัพย์จึงเป็นผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์ เพื่อให้อัยการฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงได้

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้เป็นมูลกรณีเดียวกัน หากแต่มีผู้เสียหาย 2 คนศาลจึงรวมพิจารณาพิพากษา

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่าง 3 ถึง 15 ตุลาคม 2499 จำเลยบังอาจเอาความเท็จมาบอกกล่าวแก่นางสาวกาญจนา และนางสาวแจ้ง ว่าจำเลยรับราชการเป็นผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อต้องการจะเข้ารับราชการก็จะช่วยให้สำเร็จ แต่ต้องเสียเงิน 2,300 บาทเป็นค่าเข้าทำงาน ไม่ต้องสอบคัดเลือกซึ่งความจริงจำเลยมิได้รับราชการ ทั้งนี้ เพื่อเป็นอุบายที่จะหลอกลวงให้นางสาวกาญจนาและนางสาวแจ้งหลงเชื่อตามที่จำเลยหลอกลวง จึงได้มอบเงินคนละ2,300 บาท ให้แก่จำเลยไปจำเลยรับเงินไปเป็นประโยชน์โดยมิได้จัดการอย่างใด ขอให้ลงโทษ

จำเลยปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกระทำผิดดังฟ้อง พิพากษาว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 304, 306 จำคุกสำนวนละ 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี เอาโทษที่รอไว้ 6 เดือนมาบวก เป็นจำคุก 4 ปี 6 เดือนและให้จำเลยใช้เงิน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงดังศาลชั้นต้น แต่แก้ให้ลงโทษตามมาตรา 304 จำคุกสำนวนละ 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี ลด 1 ใน 4 จำคุก 3 ปีเอาโทษรอ 6 เดือนมาบวกเป็นจำคุก 3 ปี 6 เดือน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ที่ว่าผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์หรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เท่านั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีไม่ปรากฏว่า การที่ผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลยไปตามคำหลอกลวงของจำเลยนั้น เป็นการกระทำอันมีความประสงค์ผิดกฎหมายผู้เสียหายจึงชอบที่จะร้องทุกข์และอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ พิพากษายืน

Share