แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่จำเลยที่ 1 มีเพียงสิทธิถือครองเพราะยังไม่ได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิใด ๆ ให้แก่จำเลยที่ 1 กรณีจึงต้องถือว่าที่ดินนั้นยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. ป. ก. ตามพ.ร.บ. การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 36 ทวิ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทมาขายทอดตลาดเพื่อเอาชำระหนี้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๕๗,๘๘๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๕,๕๙๑.๘๓ บาท กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับคดีและนำยึดที่ดิน โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ ๑ เพื่อบังคับชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีความเห็นควรงดเว้นการยึดทรัพย์รายนี้และร้องต่อศาลชั้นต้นให้กำหนดการใด ๆ เพื่อมิให้ตนต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๓ วรรคสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินที่โจทก์ขอนำยึดไม่ได้อยู่ในเขตป่าสงวน สามารถเปลี่ยนการครอบครองและเข้าทำประโยชน์ได้ อนุญาตให้โจทก์ยึดที่ดินดังกล่าวและให้ปลดเปลื้องความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดี
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่า โจทก์มีสิทธิร้องขอให้ยึดที่ดินที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือครองเพื่อบังคับชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาได้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๖ กำหนดให้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินอันเป็นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการ เมื่อกระทรวง การคลังได้ให้ความยินยอมแล้ว หรือที่ดินในเขตป่าสงวนให้มีผลเป็นการถอนสภาพ ส่วนที่ดินที่มีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดินก็ให้ ส.ป.ก. มีอำนาจนำที่ดินนั้นมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบมาตรา ๓๖ ทวิ ที่บัญญัติว่า บรรดาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ที่ ส.ป.ก. ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้ หรือได้มาโดยประการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมไม่ให้ถือว่าเป็นที่ราชพัสดุและให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แสดงว่าที่ดินใดอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินและผู้ครอบครองไม่สามารถแสดงสิทธิใด ๆ ตามกฎหมาย ที่ดินเหล่านั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก. ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ดังนี้เมื่อพิจารณาที่ดินที่โจทก์นำยึดอยู่ในเขตปฏิรูป ที่ดินและจากรายงานการยึดที่ดินประกอบคำแถลงของโจทก์ที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยที่ ๑ โดยระบุเพียงเนื้อที่และเขตติดต่อ แสดงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารใด ๆ สำหรับที่ดิน นอกจากนี้ตามเอกสารท้ายคำแถลงของโจทก์ที่ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวยังได้ความว่าอยู่ระหว่างที่ ส.ป.ก. ทำการรังวัดปักหลักเขต ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงถือว่าเป็นของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๒ ซึ่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินฯ ให้อำนาจ ส.ป.ก. นำไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ตามมาตรา ๘ กรรมสิทธิ์ใน ที่ดินจึงเป็นของ ส.ป.ก. หาใช่ของจำเลยที่ ๑ ที่โจทก์จะมีสิทธินำยึดไม่ ทั้งยังถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ห้ามยึดตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๗ อีกด้วย ที่โจทก์อ้างในคำแก้ฎีกาว่า โจทก์นำยึดที่ดินหลังพ้นระยะเวลา ๓ ปี ตามที่พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินฯ มาตรา ๒๘ บัญญัติห้ามการจำหน่ายด้วยประการใด ๆ หรือก่อให้เกิดภาระติดพันซึ่งที่ดินในเขตปฏิรูปเพราะกฎหมายมีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้กระทบสิทธิของผู้ครอบครองหรือเจ้าของสิทธิที่ต้องได้รับความเสียหายจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ แสดงว่าที่ดินแปลงที่โจทก์นำยึดไม่ตกอยู่ในบังคับห้ามจำหน่ายจ่ายโอนและการบังคับคดีแล้วนั้น เห็นว่าความในมาตรา ๒๘ วรรคหนึ่ง ดังกล่าวเป็นเพียงกำหนดเวลาเพื่อความสะดวกแก่ ส.ป.ก. ในการดำเนินการปฏิรูปเท่านั้น หาใช่ว่าเมื่อพ้นระยะเวลา ๓ ปี แล้ว ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก. จะกลับคืนไปสู่ผู้ถือครองเดิมไม่ ส่วนที่ว่าที่ดินในเขตปฏิรูปมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประชาชนครอบครอง จึงมิใช่ต้องห้ามจำหน่ายจ่ายโอนโดยเด็ดขาดแม้จะเป็นความจริง แต่เมื่อพิจารณาความในมาตรา ๑๙ (๗) ประกอบระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ. ศ. ๒๕๒๕ กำหนดคุณสมบัติเกษตรกรผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปและกฎหมายในมาตราอื่น ๆ สรุปได้ว่าผู้ที่จะมีสิทธิได้ที่ดินในเขตปฏิรูปต้องเป็นเกษตรกรเท่านั้น ซึ่งหากยอมให้มีการยึดทรัพย์ ผู้ซื้อทรัพย์ได้อาจมิใช่เกษตรกรตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินฯ เมื่อที่ดินแปลงดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการดำเนินการปฏิรูป แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นผู้ ถือครอง แต่ก็หาใช่ว่าจำเลยที่ ๑ จะได้สิทธิในที่ดินไม่เพราะเป็นเรื่องในอนาคต โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ยึดที่ดินแปลงดังกล่าวมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึดที่ดินตามรายการการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ