คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าของที่ดินผู้ให้เช่านาจะขายนาไปต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา53และมาตรา54กำหนดไว้หากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นจะทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ดังนั้นถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปให้จำเลยโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา54โจทก์ผู้เช่านาย่อมมีสิทธิซื้อนาจากจำเลยได้สิทธิของโจทก์ตามมาตรา54ดังกล่าวหาได้ระงับสิ้นไปโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ แม้ประธานคชก.ตำบลจะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้จำเลยทราบพร้อมทั้งระบุว่าจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดได้ภายใน90วันนับแต่วันที่คชก.ตำบลมีคำวินิจฉัยซึ่งเป็นการแจ้งระยะเวลายื่นอุทธรณ์คลาดเคลื่อนไปจากที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา56กำหนดไว้ก็ตามจำเลยก็จะปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ว่ากฎหมายบัญญัติให้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด60วันนับแต่วันที่คชก.ตำบลได้มีคำวินิจฉัยหาได้ไม่เมื่อจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลย่อมเป็นที่สุดและเมื่อไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของคชก.ตำบลโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยขอให้ขายที่นาพิพาทตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลได้ ปัญหาว่าโจทก์ฟ้องซ้ำหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทแต่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้คดีก่อนโจทก์ฟ้องส.กับจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายนาพิพาทศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ในฐานะผู้เช่ามีสิทธิซื้อนาจากจำเลยตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแต่ทั้งนี้โจทก์จะต้องใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวก่อนเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยในฐานะผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54โจทก์จะขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายหาได้ไม่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้องดังนั้นในคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายนั้นกำหนดจึงยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำฟ้องของโจทก์แต่ฟ้องโจทก์คดีนี้โจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดครบถ้วนแล้วโจทก์จึงฟ้องจำเลยผู้รับโอนนาพิพาทขอให้จดทะเบียนขายนาพิพาทให้โจทก์เช่นนี้จึงไม่ใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 4893และเลขที่ 4894 ตำบลหนองกลับ อำเภอหนองบัวจังหวัดนครสวรรค์ ของนายสุวิทย์ ศรีจันพร เพื่อทำนาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2532 นายสุวิทย์ จดทะเบียนโอนขายที่นาดังกล่าวให้แก่จำเลย โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบและไม่ได้ทำเป็นหนังสือแจ้งความจำนองต่อ คชก.ตำบลหนองกลับ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 โจทก์ร้องต่อคชก.ตำบลหนองกลับ ขอซื้อที่นาคืนจากจำเลย และคชก.ตำบลหนองกลับมีมติให้จำเลยขายที่นาให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาทจำเลยอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหนองกลับ เมื่อพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด คำวินิจฉัยของ คชก.หนองกลับจึงถือเป็นที่สุด โจทก์ติดต่อให้จำเลยโอนขายที่นาให้แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยดังกล่าว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ศาลพิพากษาว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหนองกลับที่วินิจฉัยให้จำเลยโอนขายที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 4893และเลขที่ 4894 ให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาทเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาท ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดหากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์และนางลำดวน จองกา ภริยาโจทก์เคยใช้สิทธิขอซื้อที่ดินพิพาทจากนายสุวิทย์ก่อนที่นายสุวิทย์จะโอนขายให้แก่จำเลย แต่โจทก์และนางลำดวนไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อมานายสุวิทย์จดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่จำเลยในราคา 150,000 บาทจำเลยซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายสุวิทย์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน คณะกรรมการควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหนองกลับมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้จำเลยทราบและให้จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งภายใน 90 วัน และเมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในระยะเวลาดังกล่าวกลับอ้างว่าจำเลยไม่ยื่นภายในระยะเวลา 60 วัน และโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 4893 และ 4894 ให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาท หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้จดทะเบียนโอนที่นาพิพาทตามหนังสือ น.ส.3 เลขที่ 4893 และ 4894ให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาท จึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งคงฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย แต่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมโจทก์ได้เช่าที่นาพิพาทจากนายสุวิทย์ ศรีจันพร นายสุวิทย์ ได้ทำสัญญาจะขายที่นาพิพาทให้โจทก์และนางลำดวนภริยาในราคา 150,000 บาทแบ่งชำระราคาเป็น 2 งวด หากโจทก์และนางลำดวนไม่สามารถชำระงวดแรกได้ภายในกำหนด ยอมให้นายสุวิทย์นำที่นาพิพาทขายให้ผู้อื่นได้ การตกลงซื้อขายที่นาพิพาทดังกล่าวไม่ผ่านคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหนองกลับคือ คชก.ตำบลหนองกลับ ครั้นถึงกำหนดชำระราคาที่ดินงวดแรกนายสุวิทย์ป่วยจึงมิได้มีการซื้อขายกัน ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2532 นายสุวิทย์ขายที่นาพิพาทให้จำเลยโดยไม่ผ่าน คชก. ตำบลหนองกลับ โจทก์จึงขอซื้อคืนจากจำเลยแต่จำเลยไม่ยอมขายให้ โจทก์จึงร้องขอต่อ คชก.ตำบลหนองกลับเพื่อวินิจฉัย คชก.ตำบลหนองกลับมีคำวินิจฉัยให้จำเลยขายที่นาพิพาทแก่โจทก์ในราคา 150,000 บาท ประธานคชก.ตำบลหนองกลับได้มีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้จำเลยทราบและระบุว่าจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดนครสวรรค์หรือ คชก.จังหวัดนครสวรรค์ ภายในกำหนด 90 วัน จำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด 90 วัน แต่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ คชก.ตำบลหนองกลับมีคำวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์กับนายสุวิทย์ได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.1และ จ.5 ตกลงจะซื้อขายที่ดินพิพาท เป็นการระงับข้อพิพาทต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850แม้มิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 มาตรา 53 แต่โจทก์ได้สละสิทธิตามมาตรา 54สิทธิฟ้องโจทก์ย่อมระงับโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 มาตรา 53 บัญญัติว่า ผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งให้ผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนาพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก.ตำบลเพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายใน 15 วันและถ้าผู้เช่านาแสดงความจำนงจะซื้อนาเป็นหนังสือยื่นต่อประธาน คชก.ตำบล ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผู้ให้เช่านาต้องขายนาแปลงดังกล่าวให้ผู้เช่านาตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ได้แจ้งไว้ และมาตรา 54 วรรคแรก บัญญัติว่าถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 ไม่ว่านานั้นจะถูกโอนต่อไปยังผู้ใด ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้ วรรคสองบัญญัติว่า ถ้าผู้รับโอนตามวรรคหนึ่งไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านา ผู้เช่านาอาจร้องขอต่อ คชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยให้ผู้นั้นขายนาได้จากบทบัญญัติดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า หากเจ้าของที่ดินผู้ให้เช่านาจะขายนาไปต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ หากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นจะทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความยกเว้นตามบัญญัติของกฎหมายหาได้ไม่ดังนั้นถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปให้จำเลยโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 54 โจทก์ผู้เช่านาย่อมมีสิทธิซื้อนาจากจำเลยได้ สิทธิของโจทก์ตามมาตรา 54 ดังกล่าวหาได้ระงับสิ้นไปโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ และตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 56 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ผู้เช่านา ผู้เช่าช่วงนา หรือผู้ให้เช่านาที่เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาอาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลต่อ คชก.จังหวัดได้โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อประธาน คชก.ตำบลภายในกำหนด30 วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล แต่ต้องไม่เกิน60 วันนับแต่วันที่ คชก.ตำบลได้มีคำวินิจฉัย วรรคสองบัญญัติว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด แต่กฎหมายมิได้บัญญัติว่า ถ้า คชก.ตำบลวินิจฉัยแล้วให้แจ้งคำวินิจฉัยแก่ผู้เกี่ยวข้องทราบเพื่อให้ผู้ที่ไม่เห็นชอบด้วยอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ฉะนั้นการที่ประธานคชก.ตำบลหนองกลับมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้จำเลยทราบพร้อมทั้งระบุว่าจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ คชก.ตำบลหนองกลับมีคำวินิจฉัยซึ่งเป็นการแจ้งระยะเวลายื่นอุทธรณ์คลาดเคลื่อนไปจากที่กฎหมายกำหนดจำเลยจะปฏิเสธไม่ยอมรู้ว่ากฎหมายบัญญัติให้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาเท่าไรหาได้ไม่ดังนั้น เมื่อจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด 60 วันนับแต่วันที่ คชก.ตำบลหนองกลับได้มีคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลหนองกลับย่อมเป็นที่สุด เมื่อไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหนองกลับไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของคชก.ตำบลหนองกลับ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยขอให้ขายที่นาพิพาทตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหนองกลับได้ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 148/2533 หรือไม่ เห็นว่า แม้ปัญหานี้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทแต่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยได้ ตามฟ้องโจทก์ในคดีนี้ได้กล่าวว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 148/2533 ของศาลชั้นต้นโจทก์เคยฟ้องนายสุวิทย์กับจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายนาพิพาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ในฐานะผู้เช่ามีสิทธิซื้อนาจากจำเลยตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้น แต่ทั้งนี้โจทก์จะต้องใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวก่อน เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยในฐานะผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 54 โจทก์จะขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง ดังนั้น ในคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายนั้นกำหนดให้โจทก์ใช้สิทธิซื้อนาพิพาทตามราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยผู้รับโอนซื้อไว้แล้วไม่ยอมขายโจทก์จะต้องร้องขอต่อคชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยให้จำเลยขายนาพิพาทก่อน จึงจะฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่ฟ้องโจทก์คดีนี้โจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยผู้รับโอนนาพิพาทขอให้จดทะเบียนขายนาพิพาทให้โจทก์เห็นว่าคดีก่อนศาลยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำฟ้องของโจทก์และโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยโจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเช่นนี้จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 148/2533 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share