คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้คนขับรถยนต์บรรทุกดินบุกรุกผ่านที่ดินของโจทก์ร่วมไปถมที่ดินอีกแปลงหนึ่ง เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2),84 อันเป็นความผิดต่อกรรมสิทธิ์ โจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นผู้เสียหาย ร้องทุกข์และฟ้องได้แม้ที่ดินนั้นจะมีผู้เช่าทำนาอยู่ก็ตาม

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2), 84 จำคุก 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “พยานโจทก์มีน้ำหนักและเหตุผลดีกว่าพยานจำเลย ฟังได้ว่าจำเลยได้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยจ้างวานใช้ให้นายไสว บุญญะอินทร์ กับพวกซึ่งเป็นคนขับรถยนต์บรรทุกดินของจำเลยขับรถยนต์บรรทุกดินบุกรุกที่ดินของโจทก์ร่วมเพื่อไปถมที่ซึ่งจำเลยรับจ้างเหมาไว้ คนขับรถยนต์ของจำเลยได้ทำความผิดฐานบุกรุกที่ดินของโจทก์ร่วมทั้งสองตามที่จำเลยก่อให้กระทำแล้ว จำเลยจึงต้องได้รับโทษตามความผิดที่ผู้ถูกใช้ได้กระทำลงนั้น

ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า นายแกละหรือโปร่ง ปั้นทอง พยานโจทก์เบิกความว่าที่ดินที่ถูกบุกรุกเป็นที่ดินซึ่งนายแกละหรือโปร่งเช่าทำตลอดมา ผู้เสียหายไม่เคยทำนาแปลงนี้ โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะไม่ใช่ผู้ครอบครอง จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีเป็นโจทก์และร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานบุกรุกเป็นความผิดต่อกรรมสิทธิ์โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จำเลยก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานบุกรุก โจทก์ร่วมทั้งสองจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้”

พิพากษายืน

Share