แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจ้างทำของที่จำเลยทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าจ้างให้โจทก์นั้น หากจำเลยคนหนึ่งผ่อนชำระหนี้บางส่วนแทนจำเลยอื่นด้วยให้โจทก์เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ย่อมมีผลผูกพันจำเลยอื่นด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๙๖ และวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๔๙๖ จำเลยกับพวกตกลงจ้างโจทก์ทำเครื่องบนโบสถ์ วัดดงตาล รวมค่าไม้ ตะปู เหล็ก ค่าจ้างทั้งสองครั้งเป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท โจทก์ทำงานเสร็จและส่งให้จำเลยรับแล้วแต่วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๔๙๗ จำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์เป็นระยะเวลาครั้งคราวจนหมดสิ้น เมื่องานเสร็จ หรือผ่อนชำระไม่เกิน ๓ ปี ถ้าผิดนัดจำเลยต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๒ เท่า จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระให้เสร็จภายใน ๓ ปี ครั้งหลังสุด จำเลยผ่อนชำระให้โจกท์เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ยังค้างชำระ ๑๗,๐๐๐ บาท โจทก์ทวงถาม จำเลยขอผัด จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินที่ค้าง ๑๗,๐๐๐ บาท และค่าปรับอีก ๓๔,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า ไม่ได้จ้างโจทก์ วัดดงตาลเป็นผู้จ้าง ค้างค่าจ้างเพียง ๖,๘๐๐ บาท คดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยทุกคนลงชื่อในสัญญาจ้างจริง และค้างชำระค่าจ้างเป็นเงิน ๑๗,๐๐๐ บาท และควรให้จำเลยใช้เบี้ยปรับเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะนายเมี้ยนจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง จึงพิพากษาให้จำเลยทุกคนร่วมกันใช้ค่าจ้าง ๑๗,๐๐๐ บาท กับเบี้ยปรับ ๑๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยทุกคนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายแบน นายน้อย จำเลยสองคนเท่านั้นที่ตกลงจ้างโจทก์ ส่วนจำเลยอื่น ๆ ไม่ได้ตกลงจ้างโจทก์ดังฟ้อง เรื่องค่าจ้างที่จำเลยว่าค้างชำระเพียง ๖,๘๐๐ บาท ฟังไม่ได้ แต่เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความสองปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ แล้ว พิพากษากลับยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้สนิทว่าจำเลยทั้ง ๙ ได้ลงนามเป็นผู้จ้างในเอกสาร จ.๑ ก.ธ.จริง ไม่ใช่วัดดงตาลเป็นผู้จ้าง ปัญหาเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น ได้ความว่า โจทก์มีอาชีพ รับเหมาก่อสร้าง สัญญาจ้างรายนี้เป็นสัญญาจ้างทำของ โจทก์จะเรียกร้อง ให้จำเลยชำระหนี้ได้ภายใน ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ ตามสัญญาจ้างได้ตกลงกันว่าเงินค่าจ้างให้ผ่อนชำระได้ภายใน ๓ ปี นับแต่วันทำสัญญา คือวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๔๙๖ อายุความจึงเริ่มนับแต่วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๔๙๙ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จะขาดอายุความในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๐๑ แต่ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๑ นายเมี้ยน จันสะดี จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ ๒ คราว รวมเป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท อายุความจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ ต้องเริ่มนับอายุความใหม่นับแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ซึ่งเป็นอันที่โจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายจากนายเมี้ยน จันสะดี จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๑ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๐๒ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วม การที่นายเมี้ยนจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ก็มีผลเฉพาะตัวนายเมี้ยนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๕ คดีโจทก์สำหรับจำเลยอื่นย่อมขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาจ้าง จำเลยทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าจ้างให้โจทก์ การที่นายเมี้ยน จันทะดี ชำระค่าจ้างให้โจทก์เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ก็ได้มีบันทึกไว้ว่า คณะกรรมการวันได้ชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท เห็นได้ชัดว่านายเมี้ยนจำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์ในฐานะกรรมการวัดผู้จ้างโจทก์ย่อมรวมถึงจำเลยอื่นด้วย ทั้งข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า เงินที่ชำระหนี้แก่โจทก์นี้เป็นเงินซึ่งราษฎรบริจาคให้แก่วัด เมื่อ นายเมี้ยนรวบรวมได้แล้วก็นำไปชำระให้โจทก์แทนผู้จ้างคนอื่น ด้วย หาใช่เงินส่วนตัวของนายเมี้ยนจำเลยผู้เดียวไม่ การที่นายเมี้ยนจำเลยผ่อนชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ย่อมมีผลผูกพันจำเลยอื่นด้วยกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๕ ดังคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น