คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายขับรถยนต์โดยสารไปส่งคนโดยสารที่ปลายทาง เมื่อจอดรถให้คนโดยสารลงแล้ว จำเลยเดินตรงมาตบหน้าผู้เสียหาย 1 ที ผู้เสียหายเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะชกจำเลย จำเลยขึ้นไปบนรถขับรถแล่นวนไปวนมาในบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 5 นาที แล้วขับไปจอดทิ้งไว้ในทุ่งนาซึ่งมีป่าละเมาะห่างจากถนนประมาณครึ่งกิโลเมตร และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339(1) ถึง (5) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายตามมาตรา 391 กระทงหนึ่งและฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 อีกกระทงหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยชิงรถยนต์กระบะราคา ๑๔๐,๐๐๐ บาทของนายทวี เมืองน้ำเที่ยง ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะฆ่าผู้เสียหาย และตบหน้าผู้เสียหายหลายครั้ง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ พาทรัพย์นั้นไปให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๙
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๙ จำคุก ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ จำคุก ๑ เดือน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ฟังได้ว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหาย๑ ที แล้วขึ้นนั่งขับรถยนต์ผู้เสียหายแล่นวนไปวนมาในบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ ๕ นาที จึงขับรถแล่นไปทางอำเภอหนองสองห้องคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยขับรถผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ โจทก์มีนายเคน ขุนแก้ว เบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา นายโฮมผู้ใหญ่บ้านไปแจ้งต่อพยานว่ามีคนเอารถยนต์มาทิ้งไว้ในเขตหมู่บ้าน พยานออกไปตรวจดู จำได้ว่าเป็นรถผู้เสียหายข้าง ๆ รถมีโคลนตมจึงนำรถไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจภายหลังทราบว่าจำเลยนำรถผู้เสียหายไปทิ้งไว้ พันตำรวจตรีเดชาเบิกความว่า เมื่อรับแจ้งความจากผู้เสียหายแล้วพยานได้ไปยังที่เกิดเหตุ พบรถที่ถูกชิงไปจอดอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ ๑ กิโลเมตร พยานได้ทำแผนที่สังเขปประกอบคดีตามเอกสารหมาย ป.จ.๑ และทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย ป.จ.๒ เห็นว่านายเคนเป็นกำนันตำบลเมืองพล รู้จักผู้เสียหายและจำเลย ส่วนพันตำรวจตรีเดชาได้ทำแผนที่สังเขปและทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย ป.จ.๑ และ ป.จ.๒ ในวันเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้เถียงว่าแผนที่สังเขป เอกสารหมาย ป.จ.๑ และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.๒ ไม่ถูกต้อง ประกอบกับนายเคนพยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่า จากที่เกิดเหตุถึงบริเวณที่พยานพบรถห่างกันประมาณ ๒ กิโลเมตร รถหันหน้าไปทางทิศใต้ห่างจากถนนราดยางประมาณครึ่งกิโลเมตร ดังนี้ สถานที่ที่นายเคนพบรถจึงใกล้เคียงกับแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ป.จ.๑ และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.๒ เชื่อว่าพันตำรวจตรีเดชาทำแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ป.จ.๑ และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.๒ เชื่อว่าพันตำรวจตรีเดชาทำแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ป.จ.๑ และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.๒ ตรงตามความจริง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เมื่อจำเลยขับรถผู้เสียหายแล่นออกจากบ้านชาดไปทางอำเภอหนองสองห้องแล้วจำเลยได้ขับรถแล่นลงจากถนนสายเมืองพล-หนองสองห้อง ไปจอดไว้ในทุ่งนาซึ่งมีป่าละเมาะพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวประกอบกับจำเลยได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๕ ประการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๙(๑) ถึง (๕) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย ตามมาตรา ๓๙๑ กระทงหนึ่ง และฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๔ อีกกระทงหนึ่งเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๔ อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน รวมเป็นจำคุก ๑ ปี ๗ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share