แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายตึกแถวกัน ต่อมาจำเลยปลูกสร้างตึกแถวเสร็จพร้อมที่จะโอนให้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมชำระราคาส่วนที่เหลือแก่จำเลย ทั้งโจทก์ยังขอร้องให้จำเลยช่วยบอกขายตึกแถวดังกล่าวให้ด้วยแสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะชำระราคาส่วนที่เหลือแก่จำเลยมาตั้งแต่แรก แม้จะได้ความว่าในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งโจทก์และจำเลยต่างมิได้ถือเอาเงื่อนไขในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญเพราะจำเลยกำลังบอกขายตึกแถวให้แก่ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของโจทก์ก็ตาม แต่ก็ไม่แน่นอนว่าจำเลยจะสามารถขายตึกแถวให้เป็นผลสำเร็จได้ โจทก์จึงย่อมมีเวลาเพียงพอในการเตรียมเงินให้พร้อมเพื่อชำระให้แก่จำเลย การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินที่ค้างอยู่จำนวน 2,000,000 บาท ภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับหนังสือ อันเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จและพร้อมที่จะโอนให้โจทก์เกือบ 1 ปี ซึ่งเป็นการบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในเวลาอันควรแล้ว
เมื่อหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินระบุว่าหากพ้นกำหนด 15 วันแล้ว โจทก์ไม่ชำระให้ถือเอาหนังสือฉบับนั้นเป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญา การที่โจทก์ไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือภายในเวลาดังกล่าว สัญญาจะซื้อจะขายตึกแถวจึงเป็นอันเลิกกัน อันเป็นผลจากการที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันในภายหลังไม่ เมื่อสัญญาเลิกกันแล้วโจทก์และจำเลยต้องให้แต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม โดยจำเลยมีหน้าที่คืนเงินที่ได้รับไว้แล้วพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
เงินดาวน์ 300,000 บาท ที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา ไม่ปรากฏว่าเป็นการให้ไว้เพื่อเป็นประกันการที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา จึงต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยล่วงหน้า มิใช่เงินมัดจำที่จำเลยจะริบได้ ทั้งไม่มีข้อสัญญาให้จำเลยมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระแล้วด้วย
เมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในหนังสือบอกกล่าวโจทก์จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสองจำเลยมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่โจทก์ผิดนัดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215
ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบถึงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 17.5 ต่อปี ที่จำเลยต้องเสียให้แก่ธนาคารจากการที่โจทก์ผิดนัด จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นถึงความเสียหายเช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวไม่ได้แต่ศาลมีอำนาจคิดคำนวณให้ได้ตามพฤติการณ์แห่งคดีโดยเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของหนี้เงินในระหว่างที่ลูกหนี้ผิดนัดตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ประกอบกับความสุจริตในการดำเนินคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายตึกแถวสามชั้นครึ่งหนึ่งคูหาในราคา 3,200,000 บาท โจทก์ชำระเงินดาวน์จำนวน 300,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา และชำระเงินให้แก่จำเลยอีก 3 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 1,200,000 บาท ต่อมาจำเลยมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 2,000,000 บาท ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือทวงถาม หากพ้นกำหนดดังกล่าวจำเลยถือว่าโจทก์ผิดสัญญาและขอบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายโดยริบเงินที่โจทก์ชำระไว้แล้ว ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากสัญญาดังกล่าวไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้ไว้ จำเลยต้องให้เวลาแก่โจทก์ตามสมควรการที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือจำนวน 2,000,000 บาท ภายใน 15 วัน ไม่เป็นการให้เวลาพอสมควรแก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วเพราะไม่ใช่เงินมัดจำอย่างไรก็ตามเมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาและโจทก์ตกลงสนองรับ สัญญาจะซื้อจะขายย่อมเป็นอันเลิกกัน ทำให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม จำเลยต้องคืนเงินที่รับไว้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่รับไว้จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 113,600 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,313,600 บาท ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 1,313,600 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย เพราะตามสัญญามีข้อความระบุไว้โดยชัดแจ้งว่า เมื่อจำเลยสร้างตึกแถวเสร็จแล้วโจทก์ต้องชำระราคาให้แก่จำเลยทันที จำเลยสร้างตึกแถวเสร็จตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539 และบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาตามสัญญาหลายครั้งแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยจึงมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา แต่โจทก์เพิกเฉย ไม่ชำระหนี้เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่า 1,100,000 บาท จำเลยจึงมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระแล้ว หากจำเลยต้องชำระก็ไม่เกิน 200,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,200,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 300,000 บาท นับแต่วันที่ 19 เมษายน 2539 จากต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2539 จากต้นเงิน 300,000บาท นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2539 และจากต้นเงิน 400,000 บาท นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2540 รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 113,600 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2539 โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35823 ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมตึกแถวสามชั้นครึ่งหนึ่งคูหากับจำเลยในราคา 3,200,000 บาท โจทก์ชำระเงินดาวน์ในวันทำสัญญา 300,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระเมื่อจำเลยปลูกสร้างตึกแถวเสร็จแล้วแต่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ หลังจากนั้นจำเลยได้ลงมือปลูกสร้างตึกแถวดังกล่าว ในระหว่างนั้นโจทก์ได้ชำระราคาตึกแถวพร้อมที่ดินแก่จำเลยอีก 3 ครั้งคือ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 ชำระ 200,000 บาท วันที่ 30 มิถุนายน 2539 ชำระ300,000 บาท และวันที่ 3 ตุลาคม 2539 อันเป็นช่วงเวลาที่ตึกแถวแล้วเสร็จชำระอีก400,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,200,000 บาท หลังจากนั้นโจทก์ไม่ชำระราคาอีกเลยต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2540 อันเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จประมาณ 10 เดือน จำเลยมีหนังสือทวงถามให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลืออีก 2,000,000บาทแก่จำเลยภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ มิฉะนั้นจะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาซึ่งจำเลยขอถือเอาหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญาและริบเงินที่โจทก์ชำระแล้วเสียทั้งสิ้น โจทก์ได้รับหนังสือฉบับนั้นแล้วเพิกเฉยไม่ชำระเงินแก่จำเลย แต่กลับมอบให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 25 สิงหาคม 2540 แจ้งแก่จำเลยว่า โจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญากับจำเลยและขอให้จำเลยคืนเงิน 1,200,000 บาทแก่โจทก์
คดีมีประเด็นข้อพิพาทมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 บัญญัติว่า “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้” และมาตรา 391 บัญญัติว่า “เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่…”และความในวรรคสุดท้ายว่า “การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากกระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่” เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำเบิกความของโจทก์และจำเลยตรงกันว่า จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จพร้อมที่จะโอนให้แก่โจทก์ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2539 โจทก์ย่อมมีหน้าที่รับโอนตึกแถวพร้อมที่ดินดังกล่าวและชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 2,000,000 บาทแก่จำเลย แต่โจทก์หาได้ชำระเงินจำนวนนั้นไม่ ที่โจทก์แก้ฎีกาว่า การที่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 5 สิงหาคม 2540 แจ้งให้โจทก์ชำระเงินจำนวนสูงถึง 2,000,000บาทแก่จำเลยโดยให้เวลาเพียง 15 วัน ไม่เป็นการให้เวลาตามสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เบิกความรับว่า นอกจากโจทก์ไม่ได้ชำระราคาตึกแถวพร้อมที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยแล้ว โจทก์ยังขอร้องให้จำเลยช่วยบอกขายตึกแถวดังกล่าวให้ด้วย คำเบิกความของโจทก์ในตอนนี้ตรงกับคำเบิกความของจำเลยที่ยืนยันว่า ในช่วงปลายปี 2539 หรือต้นปี 2540 ไม่ได้ความชัดโจทก์ขอร้องให้จำเลยช่วยขายตึกแถวพร้อมที่ดินให้แก่ผู้อื่น ซึ่งจำเลยรับปากว่าจะดำเนินการให้อีกทั้งรับว่าหากขายได้จำเลยจะคืนเงินที่ได้รับไว้แล้ว 1,200,000 บาทให้แก่โจทก์คำเบิกความของโจทก์และจำเลยในข้อนี้เป็นเครื่องชี้เจตนาของโจทก์ให้เห็นเด่นชัดว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะชำระราคาที่เหลือให้แก่จำเลยมาตั้งแต่แรกที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จ หาใช่โจทก์ประสงค์จะปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาแต่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันเพราะจำเลยไม่ให้เวลาตามสมควรดังที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในคำแก้ฎีกาไม่ เมื่อพิเคราะห์ว่า โจทก์เป็นฝ่ายเพิกเฉยไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยนับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม2539 เป็นต้นมา แม้จะได้ความว่าในช่วงเวลานั้นทั้งโจทก์และจำเลยต่างมิได้ถือเอาเงื่อนไขในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญ เนื่องจากจำเลยกำลังบอกขายตึกแถวพร้อมที่ดินให้แก่ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของโจทก์ก็ตาม แต่ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าไม่เป็นการแน่นอนว่าจำเลยจะสามารถจัดการขายตึกแถวพร้อมที่ดินให้เป็นผลสำเร็จได้ โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอในการเตรียมเงินให้พร้อมเพื่อชำระให้แก่จำเลย การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินที่ค้างชำระอยู่อีก 2,000,000 บาทแก่จำเลยภายใน 15 วันนับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือ อันเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จและพร้อมที่จะโอนให้แก่โจทก์เกือบ 1 ปี จึงเป็นการบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรแล้ว เมื่อหนังสือดังกล่าวมีข้อความระบุชัดว่า หากล่วงพ้นกำหนดเวลา 15 วันแล้ว โจทก์ไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือจำเลยขอถือเอาหนังสือฉบับนั้นเป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญา ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ชำระเงิน 2,000,000 บาท ภายในเวลาที่จำเลยกำหนดสัญญาจะซื้อจะขายตึกแถวพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมเป็นอันเลิกกันเมื่อล่วงพ้น 15 วันนับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือทวงถามนั้น อันเป็นผลจากการที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยสมัครใจตกลงเลิกสัญญาต่อกันในภายหลังดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่ โจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม กล่าวคือ จำเลยมีหน้าที่คืนเงิน 1,200,000 บาท ที่รับไว้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แม้โจทก์จะได้ชำระเงินดาวน์จำนวน 300,000 บาทอันเป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน 1,200,000 บาท ดังกล่าวให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเป็นการให้ไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญาจึงต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยล่วงหน้า มิใช่เงินมัดจำที่จำเลยจะริบได้ ทั้งไม่มีข้อสัญญาให้จำเลยมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระแล้วได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยมีหนังสือทวงถามให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือภายใน 15 วันนับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือ แล้วโจทก์เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลานั้น โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “…ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินและลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลยวิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว” โดยผลแห่งการนี้จำเลยมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่โจทก์ผิดนัดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 การที่จำเลยให้การและฎีกาว่า จำเลยไม่จำต้องคืนเงิน 1,200,000 บาทให้แก่โจทก์จนครบจำนวน เนื่องจากจำเลยได้รับความเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ผิดนัดและต้องรับภาระดอกเบี้ยที่กู้ยืมเงินจากธนาคารมาลงทุนปลูกสร้างอาคาร พอแปลได้ว่าจำเลยเรียกเอาเงิน 1,200,000 บาทนั้นเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีสิทธิเรียกเอาเงินดังกล่าวไว้ทั้งจำนวนหรือไม่นั้น จำเลยเบิกความว่า การที่โจทก์ไม่ชำระเงิน 2,000,000 บาท ให้แก่จำเลยเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารสำหรับจำนวนเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี หรือเท่ากับปีละ 350,000 บาท แต่ค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรคหนึ่ง ถือว่าเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตามมาตรา 222 วรรคสอง เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบถึงความเสียหายที่จำเลยจะได้รับจากการที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้นั้น จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นถึงความเสียหายเช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ในหนี้เงิน 2,000,000 บาทไม่ได้ อย่างไรก็ดี การที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่จำเลยย่อมทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ดังนั้น แม้จำเลยจะนำสืบถึงค่าเสียหายไม่ได้ ศาลก็มีอำนาจคิดคำนวณให้ได้ตามพฤติการณ์แห่งคดีโดยเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของหนี้เงินในระหว่างที่ลูกหนี้ผิดนัดตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ประกอบกับความสุจริตในการดำเนินคดี และเห็นสมควรให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 900,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ