แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินจำเลยเป็นที่ดินมือเปล่าตามสภาพพออนุมานได้ว่าเป็นที่บ้านเมื่อโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ไม่ใช่แต่เพียงสิทธิครอบครองจึงควรฟังข้อนำสืบของโจทก์ว่ามีกรรมสิทธิ์โดยอาศัยกฎหมายบทใดเสียก่อนไม่ควรด่วนงดสืบพยานอนึ่ง ในเรื่องอายุความ จะถือเอาระยะเริ่มที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินเป็นต้นมาไม่ได้ต้องพิจารณาว่าที่เป็นที่บ้านมาแต่เมื่อใดถ้าที่ดินได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะ เบ็ดเสร็จบทที่ 42 แล้วโจทก์จะต้องละทิ้ง 9 ปี 10 ปี จึงจะขาดสิทธิ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ในเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ 1 แปลง เมื่อประมาณ 7 ปีมานี้ จำเลยสร้างห้องแถวรุกล้ำที่ดินของโจทก์ กับเมื่อประมาณ 8 เดือนมานี้ จำเลยสร้างส้วมล้ำที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้รั้วของโจทก์พังเสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ บังคับให้จำเลยรื้อห้องแถวส้วมและหลักเขตที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ 8 ปีมานี้ ฝาห้องแถวของจำเลยพังจำเลยจึงทำฝาห้องแถวใหม่โดยถอยห่างมาจากฝาห้องแถวของโจทก์เล็กน้อย ห้องแถวและส้วมของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลย ประการสุดท้าย จำเลยตัดฟ้องว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ โดยไม่จำต้องสืบพยานฝ่ายใดจึงให้งดดำเนินกระบวนพิจารณา แล้ววินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374, 1375 สำหรับส้วมเห็นว่าจำเลยมิได้ปลูกล้ำที่ดินโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินของโจทก์เป็นที่บ้าน จำเลยมิได้ต่อสู้ถึงสิทธิเดิมของโจทก์ว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ จึงไม่ต้องพิจารณาไปถึงว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ภายหลังประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอันว่าด้วยการออกโฉนดที่ดินหรือไม่ เมื่อที่ดินของโจทก์เป็นที่บ้าน โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 คดีโจทก์ยังไม่หมดอายุความ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่ติดกัน ทั้งสองฝ่ายต่างมีห้องแถวปลูกอยู่ในที่ดินของตนมาช้านานแล้ว ที่ดินของโจทก์ยังคงเป็นที่มือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ ตามสภาพของที่ดินพออนุมานได้ว่าเป็นที่บ้าน เมื่อโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ ไม่ได้อ้างว่ามีเพียงสิทธิครอบครอง ฉะนั้น ควรฟังข้อนำสืบของโจทก์ว่ามีกรรมสิทธิ์โดยอาศัยกฎหมายบทใด ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย โจทก์จึงไม่มีโอกาสพิสูจน์ว่า โจทก์จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 หรือไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เริ่มมีสิทธิครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2482 จึงถือว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองภายหลังประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอันว่าด้วยการออกโฉนดที่ดินด้วย คดีจึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า จะถือเอาระยะเริ่มที่โจทก์เข้าครอบครองที่นี้เป็นต้นมาไม่ได้ ต้องพิจารณาว่า ที่นี้เป็นที่บ้านมาแต่เมื่อใด ถ้าที่ดินได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 แล้ว โจทก์จะต้องละทิ้ง 9 ปี 10 ปี จึงจะขาดสิทธิ
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์