แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักยอกเงินของโจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่อ้างเป็นเหตุยกฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ก็มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยมานั้นไปเลยทีเดียวก็ได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นที่อุทธรณ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นทนายความและเป็นผู้มีอาชีพอันเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ยักยอกเงินของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 354
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอก คดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อ 1(1) ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำฟ้องและนอกประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์หรือไม่
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ได้ซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน ข.ก.0744 จากนายน้ำ วุฒิสินธิ์ และนำรถยนต์ดังกล่าวไปประกันภัยไว้กับ บริษัท ร.ส.พ.ประกันภัยจำกัด แต่โดยเหตุที่ยังไม่ได้โอนทะเบียนรถยนต์จึงได้ลงชื่อนายน้ำ วุฒิสินธิ์ เจ้าของเดิมที่ปรากฏในทะเบียนรถยนต์เป็นผู้เอาประกันภัย โดยโจทก์เป็นตัวแทน และโจทก์เป็นผู้เสียเบี้ยประกันภัย โจทก์นำรถยนต์ดังกล่าวไปรับจ้างหาผลประโยชน์และถูกรถไฟชนได้รับความเสียหาย โจทก์ขอให้บริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย มอบให้จำเลยผู้มีอาชีพเป็นทนายความทวงถามค่าสินไหมทดแทนรายนี้ จำเลยได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนมาจากการรถไฟแล้ว และปรากฏตามเอกสารที่โจทก์อ้างจากบริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด แผ่นที่ 46 และ 47 ว่าจำเลยได้มอบเงินที่ได้รับมาให้บริษัทร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด เพื่อมอบให้แก่ผู้เอาประกันภัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นเพียงตัวแทน โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยหรือบริษัท ร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียประกัน และเป็นผู้ครอบครองดูแลรถ นำรถไปหาผลประโยชน์ ย่อมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อมีผู้ยักยอกเงินค่าสินไหมทดแทนไป โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่อ้างเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์เช่นนี้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีแต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นสมควรก็มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยมานั้นไปเลยทีเดียวก็ได้ จะถือว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกคำฟ้องนอกประเด็นที่อุทธรณ์หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงว่ายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอกเอาค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ คดีโจทก์ไม่มีมูล จึงเป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน