คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1324/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บันทึกคำให้การพยานชั้นสอบสวนแม้จะเป็นพยานบอกเล่าก็รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ หาใช่ต้องห้ามมิให้รับฟังไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายเสน่ห์ กลิ่นจันทร์ ร่วมกันใช้มีดปลายแหลม 1 เล่มเป็นอาวุธแทงทำร้ายนาย พ. พิทยา พรหมสุรินทร์ ผู้ตาย หลายครั้งโดยเจตนาฆ่า ถูกบริเวณลำตัว ช่องท้อง อก และ แขนซ้าย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 15 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงทำร้ายนาย พ.พิทยาพรหมสุรินทร์ ผู้ตายหลายครั้งโดยเจตนาฆ่า มีบาดแผลปรากฎตามรายงานการตรวจศพเอกสารหมาย จ.2 เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยนายเสน่ห์ กลิ่นจันทร์เป็นคนร้ายคนหนึ่ง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโท รณรงค์ บุญยะกลัม พนักงานสอบสวนขณะเกิดเหตุเบิกความว่าพยานกับพวกไปดูที่เกิดเหตุจากการสอบถามผู้ที่อยู่บริเวณนั้นได้ความว่าผู้ตายทะเลาะกับจำเลยและนายเสน่ห์ แล้วนายเสน่ห์ล็อกคอผู้ตายให้จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทง ซึ่งเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับนายเสน่ห์ได้ในวันนั้นเอง นายเสน่ห์ก็ให้การรับว่าได้กระทำเช่นนั้นจริง และโจทก์มีคำให้การชั้นสอบสวนของนางเกษร เขตนิมิตรตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.18 เป็นพยานซึ่งนางเกษรให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้โดยละเอียดตั้งแต่พยานได้ยินผู้ตายโต้เถียงกับนายเสน่ห์ เมื่อพยานเข้าไปดูเห็นนายเสน่ห์ล็อกตัวผู้ตายและจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายจนกระทั่งจำเลยและนายเสน่ห์หลบหนีไป แม้โจทก์ไม่ได้นำนางเกษรมาเบิกความเป็นพยานยืนยัน แต่พันตำรวจโทอนุชัย เล็กบำรุงก็เบิกความยืนยันว่าพยานเป็นผู้สอบปากคำนางเกษร และนางเกษรให้การไว้เช่นนั้นจริง หลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีตลอดมาเป็นพฤติการณ์ของผู้กระทำผิด แม้นางพยอม ติณะมาศ พยานโจทก์จะเบิกความว่านายเสน่ห์เป็นผู้ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายโดยจำเลยได้เข้าไปห้าม แต่นางพยอมเป็นพี่จำเลยทำให้มีข้อระแวงว่าจะเบิกความบิดเบือนความจริง ทั้งยังขัดกับคำให้การที่นางพยอมให้การชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.11 ซึ่งนางพยอมให้การว่าจำเลยเข้ารุกชกต่อยผู้ตาย ที่จำเลยฎีกาว่าบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.18 เป็นเพียงพยานบอกเล่านั้น เห็นว่า แม้บันทึกคำให้การดังกล่าวจะเป็นพยานบอกเล่าแต่ก็รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ หาใช่ต้องห้ามมิให้รับฟังไม่และที่จำเลยฎีกาว่าตามบันทึกคำให้การดังกล่าว นางเกษรให้การว่าจำเลยแทงครั้งแรกที่สะโพกขวาของผู้ตาย แต่ตามรายงานการตรวจศพเอกสารหมาย จ.2 ไม่ปรากฏบาดแผลนี้นั้น เห็นว่า แม้ตามรายงานการตรวจศพเอกสารหมาย จ.2 จะมิได้ระบุบาดแผลดังกล่าวแต่ตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.15 ซึ่งพันตำรวจโทณรงค์ทำไว้ในวันเกิดเหตุนั้นเองก็ระบุว่าผู้ตายมีบาดแผลที่บริเวณสะโพกขวาอีกแผลหนึ่งด้วย คำให้การของนางเกษรชั้นสอบสวนดังกล่าวไม่เป็นพิรุธ ที่จำเลยฎีกาว่านายเสน่ห์ให้การชั้นจับกุมซัดทอดจำเลยเพื่อให้ตนเองมีความผิดน้อยลงนั้น เห็นว่า นายเสน่ห์เป็นน้าจำเลยและการให้การเช่นนั้นก็มิได้ทำให้ความผิดของตนเองลดน้อยลงเชื่อว่านายเสน่ห์ให้การตามความจริง และที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยตกใจจึงได้หลบหนีนั้น เห็นว่าหากจำเลยมิได้กระทำผิดก็ไม่มีเหตุที่จะตกใจถึงกับต้องหลบหนีตลอดมาจนถูกจับกุมเช่นนี้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง จำเลยมีเพียงตัวจำเลยเบิกความว่าจำเลยเพียงแต่เข้าไปห้ามนายเสน่ห์มิให้แทงผู้ตายยังเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share