คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดิน ต่อมาจำเลยได้ขออาศัยปลูกโรงไม้ขึ้นและต่อเติมขยายกิจการก่อสร้าง เมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมรื้อ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ถึงแม้โจทก์กับเจ้าของที่ดินไม่ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินต่อกันไว้ เพราะเป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่ามาจากเจ้าของที่ดินเท่านั้น หาได้ฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับการเช่าที่ดินพิพาทแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้เช่าที่ดินจากวัดคงคาสวัสดิ์และครอบครองใช้ประโยชน์ติดต่อกันมา 30 ปีเศษ โดยชำระค่าเช่าทุกปีเมื่อประมาณ14-15 ปีมานี้ จำเลยได้ขออาศัยปลูกโรงไม้กระดานเพื่อขายไม้โดยสัญญาว่าเมื่อโจทก์จะเอาที่ดินคืน จำเลยจะรื้อถอนไปทันทีต่อมาโจทก์ต้องการที่ดินคืนจึงแจ้งให้จำเลยรื้อถอนไป จำเลยไม่ยอมรื้อจึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่า เดิมโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจริง แต่เมื่อ 17-18 ปีมานี้โจทก์สละสิทธิการเช่าและเลิกเช่าที่ดินนี้เสีย จำเลยจึงติดต่อขอเช่าจากวัดคงคาสวัสดิ์ และเสียค่าเช่าติดต่อมาทุกปีจนบัดนี้โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าโดยตรงจากวัดคงคาสวัสดิ์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยอาศัยโจทก์ปลูกทำลงไปออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่าจากวัดคงคาสวัสดิ์ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากวัดคงคาสวัสดิ์ตลอดมา ต่อมาจำเลยได้ขออาศัยปลูกโรงไม้ขึ้นและต่อเติมขยายกิจการก่อสร้าง โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมรื้อที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่ามาจากวัดคงคาสวัสดิ์เท่านั้นหาได้ฟ้องให้บังคับคดีเกี่ยวกับการเช่าที่ดินพิพาทแต่อย่างใดไม่ถึงแม้โจทก์กับวัดคงคาสวัสดิ์ไม่ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินพิพาทต่อกันไว้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ฟ้องของโจทก์หาเป็นโมฆะไม่

พิพากษายืน

Share