แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอเลิกหุ้นส่วนนั้น แม้จำเลยจะต่อสู้ว่าโจทก์มิได้เป็นหุ้นส่วนด้วยจำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวก็ตาม ประเด็นก็คงมีต้องวินิจฉัยเพียงว่าโจทก์เป็นหุ้นส่วนด้วยหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องชี้ขาดว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์หรือทรัพย์สินอยู่ในกิจการหุ้นส่วนนั้นเท่าใด จึงเรียกว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่ได้ และเป็นคดีตกอยู่ในอำนาจศาลแขวงรับไว้พิจารณาพิพากษาได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอเลิกหุ้นส่วนในกิจการแม่น้ำมอเตอร์โบ๊ต และขอให้ตั้งผู้ชำระบัญชี
จำเลยให้การว่าทรัพย์สินและกิจการแม่น้ำมอเตอร์โบ๊ตเป็นของจำเลยซื้อมาแต่ผู้เดียว โจทก์ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนด้วย
ศาลแขวงพระนครใต้เห็นว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกิน ๕๐๐ บาท เกินอำนาจศาลแขวง จึงให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนกัน บัดนี้โจทก์ประสงค์จะเลิกหุ้นส่วน จึงฟ้องขอให้บังคับให้โจทก์จำเลยเลิกจากการเป็นเจ้าของร่วมเป็นหุ้นส่วนกันในกิจการ “แม่น้ำมอเตอร์โบ๊ต” และขอให้ตั้งพระยาไชยยศสมบัติ เป็นผู้ชำระบัญชี
ฝ่ายจำเลยให้การว่าโจทก์มิได้เป็นหุ้นส่วนจำเลยเป็นเจ้าของฝ่ายเดียว
ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีเพียงว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนด้วยหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องชี้ขาดว่าโจทก์มีกรรมสิทธิหรือทรัพย์สินอยู่ในกิจการแม่น้ำมอเตอร์โบ๊ตเท่าใด ฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่ได้เพราะเป็นกรณีที่โจทก์ขอร้องให้ปลดเปลื้องทุกข์ในกิจการ ยังไม่ถึงคั่นอันจะเรียกร้องเอาทรัพย์สิน คดีตกอยู่ในอำนาจศาลแขวงจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงพิจารณาพิพากษาตามรูปความ ฯลฯ