แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คดีนี้จะเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 จะบัญญัติว่า การพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยซื้อนกกรงหัวจุกพร้อมกรงนกจาก น. โดยจำเลยไม่รู้ว่านกนั้นเป็นของโจทก์ร่วม พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบยังฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจร มิได้วินิจฉัยว่านกกรงหัวจุกพร้อมกรงนกไม่ใช่ของโจทก์ร่วม เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่านกกรงหัวจุกพร้อมกรงนกเป็นของโจทก์ร่วม ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 47 วรรคแรก บัญญัติว่า คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่ และวรรคสอง บัญญัติว่า ราคาทรัพย์สินที่สั่งให้จำเลยใช้แก่ผู้เสียหาย ให้ศาลกำหนดตามราคาที่แท้จริง ส่วนจำนวนค่าสินไหมทดแทนอย่างอื่นที่ผู้เสียหายจะได้รับนั้น ให้ศาลกำหนดให้ตามความเสียหายแต่ต้องไม่เกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 และให้จำเลยคืนนกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงนกหรือชดใช้เงิน 3,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาย ล. ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ขอให้จำเลยชดใช้ค่านกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงนกเป็นเงิน 55,000 บาท
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกคำร้องคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งให้เป็นพับ
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนนกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงใส่นกให้แก่โจทก์ร่วม หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาค่านกและกรงนกรวม 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้แย้งรับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมซื้อนกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงนกในคดีนี้มาจากเพื่อน ราคา 3,000 บาท แล้วนายนิวุฒิ หลานของโจทก์ร่วมลักเอานกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงนกดังกล่าวไปจากโจทก์ร่วม ต่อมาโจทก์ร่วมพบกรงนกของโจทก์ร่วมที่บ้านของจำเลย โจทก์ร่วมจึงแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องคืนหรือชดใช้ราคานกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงนกตามฟ้องให้โจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า จากพฤติการณ์และข้อเท็จจริงน่าเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยฟังได้ว่า นายนิวุฒินำนกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงนกตามฟ้องที่ลักเอาไปจากโจทก์ร่วมไปขายให้จำเลยเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2558 จำเลยเป็นผู้รับโอนนกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงนกมาจากนายนิวุฒิซึ่งมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายนิวุฒิ ผู้โอน จำเลยจึงต้องคืนนกปรอทหัวโขน (นกกรงหัวจุก) พร้อมกรงนกให้โจทก์ร่วมเจ้าของกรรมสิทธิ์ หากคืนไม่ได้ต้องชดใช้ราคา 5,000 บาท ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามา ส่วนที่จำเลยอ้างว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา เมื่อคดีอาญาฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดแล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิดไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า แม้คดีนี้จะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จะบัญญัติว่า ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า จำเลยซื้อนกกรงหัวจุกพร้อมกรงนกจากนายนิวุฒิโดยจำเลยไม่รู้ว่านกนั้นเป็นของโจทก์ร่วม พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบยังฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรับของโจร มิได้วินิจฉัยว่านกกรงหัวจุกพร้อมกรงนกไม่ใช่ของโจทก์ร่วม เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่านกกรงหัวจุกพร้อมกรงนกเป็นของโจทก์ร่วม ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 วรรคแรก บัญญัติว่า คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่ และวรรคสอง บัญญัติว่า ราคาทรัพย์สินที่สั่งให้จำเลยใช้แก่ผู้เสียหาย ให้ศาลกำหนดตามราคาที่แท้จริง ส่วนจำนวนค่าสินไหมทดแทนอย่างอื่นที่ผู้เสียหายจะได้รับนั้น ให้ศาลกำหนดให้ตามความเสียหายแต่ต้องไม่เกินคำขอ นอกจากนี้ในส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทดแทนให้โจทก์ร่วมจำนวน 55,000 บาท นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้กำหนดเงินจำนวนนี้ให้และโจทก์ร่วมก็มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่เป็นสาระแก่คดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน