แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ข้อตกลงเพิ่มวงเงินจำนอง มิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะมีผลทำให้หนี้เดิมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 คำฟ้องระบุจำนวนหนี้ที่ขอให้จำเลยร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยให้การต่อสู้ว่า หากจะต้องรับผิด ก็รับผิดเพียงวงเงินที่ค้ำประกันและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้น มิได้ปฏิเสธยอดหนี้ ดังนั้น ปัญหาว่าจำเลยอื่นได้เบิกเงินไปจากโจทก์ และนำเงินเข้าฝากในบัญชีเพื่อลดหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อใด หนี้ถึงวันฟ้องเป็นต้นเงินเท่าใด และดอกเบี้ยเท่าใดนั้น โจทก์นำมาสืบในชั้นพิจารณาได้โดยไม่จำเป็นต้องแนบบัญชีเงินฝากกระแสรายวันมาท้ายคำฟ้องฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้จำนวน363,293.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระ ขอให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อแรก ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้ระบุจำนวนหนี้ที่ขอให้จำเลยที่ 3 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ที่ 2 ต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 3 ก็ให้การต่อสู้คดีว่า หากจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็รับผิดเพียงวงเงินที่ค้ำประกันและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้นมิได้ปฏิเสธเกี่ยวกับยอดหนี้ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง ส่วนที่ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้เบิกเงินไปจากโจทก์ครั้งสุดท้ายและนำเงินเข้าฝากในบัญชีเพื่อลดหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อใด หนี้ถึงวันฟ้องเป็นต้นเงินเท่าใด และดอกเบี้ยเท่าใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณา โดยไม่จำเป็นต้องแนบบัญชีเงินฝากกระแสรายวันมาท้ายคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วจึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาข้อสุดท้าย จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่จำเลยที่ 3 ให้การรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ตามฟ้องจริงที่จำเลยที่ 3 นำสืบว่า หลังจากจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 แล้วฐานะทางการค้าของจำเลยที่ 3 ไม่ดี ค้าขายขาดทุนจนต้องโอนที่ดินให้แก่โจทก์ สาขาหล่มสัก เพื่อชำระหนี้ของจำเลยที่ 3 ให้แก่โจทก์ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 ซึ่งนายสุนทรผู้จัดการของโจทก์สาขาซับสมอทอด ทราบฐานะทางการเงินของจำเลยที่ 3 ดี ได้บอกจำเลยที่ 1 ที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 1เพิ่มวงเงินที่จำนองที่ดินและตึกไว้แล้วอีก 100,000 บาท ให้พอเป็นประกันจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์เนื่องจากฐานะทางการเงินของจำเลยที่ 3 ไม่ดี จำเลยที่ 1 ได้ตกลงด้วย หลังจากจำนองเพิ่มวงเงินแล้ว นายสุนทรได้บอกจำเลยที่ 3 ว่าสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ที่ทำกันไว้เป็นอันยกเลิกกันไปนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ 3 เป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานมาสนับสนุน จึงฟังไม่ได้ว่าสัญญาประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ได้ยกเลิกกัน ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเพิ่มวงเงินจำนองดังกล่าวถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ทำให้หนี้ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 3 เป็นอันระงับไปนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อตกลงเพิ่มวงเงินจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.11 และ จ.14 นั้น มิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ อันจะมีผลทำให้หนี้เดิมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 ดังนั้นหนี้ตามสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ย่อมไม่ระงับไปดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกา ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน